การศึกษาไทย
๑ ในพระราชดำริ | เปิดประตูการศึกษา ความเปลี่ยนแปลงสู่โลกอนาคต
รายการ ๑ ในพระราชดำริ โดย เมษนี สถาวรินทุ (ครีเอทีฟ) เป็นสารคดีที่นำเสนอผลงานของผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล และนำความรู้ความสามารถกลับมาสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการศึกษา
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนแบบ On-Site ในสถาบันการศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย เนื่องจากหลายพื้นที่ “เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี” ที่จำเป็นต่อการออกแบบการเรียนรู้ ทักษะ และหลักสูตรการศึกษารูปแบบใหม่ในยุคโควิดนี้ การมาถึงของโรคโควิด-19 จึงเป็นความท้าทายที่น่าสนใจยิ่งว่าผู้เกี่ยวข้องในวงการการศึกษาไทยจะรวมพลังกันผ่าน “ประตูแห่งวิกฤต” นี้ไปได้อย่างไร
เป็นเวลายาวนานกว่า 3 ปีแล้วที่มูลนิธิเอเชียร่วมกับรัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลีย และสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ศึกษาวิจัยร่วมกันในพื้นที่กรุงเทพฯ เรื่องบทบาทและความท้าทายของบุคลากรทางการศึกษาและผู้นำทางวิชาการในประเทศไทย เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดร.รัตนา แซ่เล้า เจ้าหน้าที่โครงการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและวิจัย มูลนิธิเอเชีย และผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล แผนกธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2549 กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยที่พบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ บุคลากรทางการศึกษาและผู้นำทางวิชาการในประเทศไทย นับได้ว่าประสบความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ 5 ON ของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องมาจากข้อได้เปรียบด้าน Loop of Communication หรือ Chain of Command ที่ค่อนข้างสั้น นั่นคือ นโยบายจากสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร สามารถสื่อสารส่งต่อสู่ 50 เขต และส่งถึงโรงเรียนในแต่ละเขตได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังมีปัจจัยพิเศษมาช่วยเสริมทัพ คือ การที่ 437 โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครอยู่ในเขตชุมชน และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างแน่นแฟ้น จึงมีการ “เปิดใจ” สื่อสารระหว่างเขต โรงเรียน พ่อแม่ผู้ปกครอง และเด็กๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนกันอย่างต่อเนื่อง
นายเกรียงไกร จงเจริญ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่าทางสำนักฯ ได้ “เปิดการสื่อสาร” ผ่านระบบ On School Line คือกลุ่ม LINE ระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและครู สำหรับส่งคลิปวิดีโอการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้ปกครองได้ร่วมมือกับโรงเรียนในกระบวนการเรียนการสอน เมื่อใบงานหรือการบ้าน On-Hand ถูกส่งถึงมือเด็กๆ ผู้ปกครองจะได้มีส่วนช่วยเหลือดูแลการศึกษาของลูกหลานทดแทนการเรียนแบบ On-Site ที่ไม่สามารถจัดขึ้นได้ และในกรณีที่บ้านของเด็กอยู่ใกล้โรงเรียน ครูจะไปสอนเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อเยี่ยมเยียน ให้คำแนะนำและความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดด้วยอีกทางหนึ่ง สำหรับบางบ้านที่ไม่มีความพร้อมทางเทคโนโลยีและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับการเรียนออนไลน์ โรงเรียนก็จะเสริมในเรื่องเอกสารใบงานให้ทดแทนด้วย
ดร.รัตนา กล่าวเพิ่มเติมว่าการลงพื้นที่วิจัย 8 เขตในกรุงเทพฯ ทำให้เห็นความก้าวหน้า ความเป็นผู้นำทางวิชาการของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครอย่างสูง โดยมีปัจจัยหลักมาจาก “ความชัดเจนของคำสั่ง” จากผู้บริหาร ทำให้โรงเรียนสามารถปฏิบัติตามได้ทันที เช่น การมุ่งเน้นให้เด็กอ่านออกเขียนได้ ซึ่งสามารถวัดระดับความสามารถในการอ่านได้อย่างน่าพอใจ สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อกำหนดเป้าประสงค์ชัดเจน การพัฒนาย่อมมุ่งตรงไปสู่เป้าหมายนั้นได้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น การจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารเช้า 15 บาท และค่าอาหารกลางวัน 25 บาท ให้แก่เด็กๆ ยังนับเป็น “ความน่าชื่นชม” ที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางเศรษฐกิจของพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะ “ความยากจนเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งประการหนึ่งต่อความสำเร็จในการศึกษา” งบประมาณที่จัดสรรในส่วนนี้จึงช่วยขับเน้นให้เห็นถึงความมุ่งหวังสำคัญคือองค์ความรู้ต่างๆ จะต้องส่งตรงถึงเด็กๆ ให้ได้มากที่สุดอย่าง “ทั่วถึงและเท่าเทียม”
ในอีกด้านหนึ่ง การปรับตัวของครูในยุคโควิด-19 นี้ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งสำหรับการพัฒนาการศึกษา ดร.รัตนา เปิดเผยถึงผลการวิจัยว่าได้พบสิ่งที่น่าชื่นชมยกย่อง คือ “ความมานะตรากตรำของครู” ในการสร้างแบบเรียนออนไลน์โดยที่ตนเองไม่ได้เป็น Digital Native (ผู้ที่เกิดในยุคดิจิทัล) มาก่อน การมาถึงของโควิด-19 ทำให้ครูต้อง “เปิดใจ” เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องพลิกแพลงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้เด็กๆ ได้รับสื่อการเรียนการสอนที่สนุกสนานดึงดูดใจและสมวัยที่สุด
ประเด็นนี้ นายเกรียงไกร กล่าวถึงการดำเนินงานของสำนักการศึกษาว่าได้จัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนของครูและโรงเรียน จัดเจ้าหน้าที่นิเทศไปให้คำแนะนำและอบรมเทคนิคต่างๆ ให้แก่ครูในโรงเรียนที่ประสบปัญหากับระบบการเรียนแบบ Online ด้วย
อย่างไรก็ดี ดร.รัตนา กล่าวถึงข้อเสนอแนะของการวิจัยว่าการสนับสนุน Resource (ทรัพยากร) สนับสนุนเครื่องมือให้กับครูอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เช่นเดียวกับที่จัดสรรให้แก่เด็กๆ ย่อมจะทำให้เกิดการพัฒนาควบคู่กันไปในทิศทางที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด
หากทุกภาคส่วนรวมพลังสู้ไปด้วยกันในครั้งนี้ แน่นอนว่าจะเป็นการ “เปิดประตูแห่งโอกาส” ขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน