บทนำ

image
โครงการภาวะผู้นำทางวิชาการประเทศไทยได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาของไทย ด้วยการนำองค์ความรู้ที่ทันสมัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำโรงเรียนมาให้ความรู้กับนักการศึกษาของไทย โครงการซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยมูลนิธิเอเชีย มีการนำเสนอสาระการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบวิดีโอ เสียง และสิ่งพิมพ์ เกี่ยวกับภาวะผู้นำและการบริหารโรงเรียน โดยเน้นไปที่ภาวะผู้นำทางวิชาการเป็นหลัก ชุดบทเรียนหัวข้อภาวะผู้นำทางวิชาการนี้ ซึ่งแต่งโดยศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ถือเป็นสาระการเรียนรู้หลักของชุดการเรียนรู้นี้ ชุดบทเรียนจะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ที่จะแสดงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดภาวะผู้นำทางวิชาการจึงเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ภาวะผู้นำทางวิชาการคืออะไร และภาวะผู้นำทางวิชาการมีการปฏิบัติอย่างไรในโรงเรียน โดยองค์ความรู้เหล่านี้มีฐานมาจากงานวิจัยและการปฏิบัติจากทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย

ดร.ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ เป็นศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นศาสตราจารย์พิศิษฐ์อาคันตุกะ (Distinguished visiting professor) ของพรรควิชาภาวะผู้นำและการจัดการทางการศึกษามหาวิทยาลัยโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้นำประสบการณ์กว่า 50 ปี ในฐานะครูและผู้บริหารโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากสหรัฐอเมริกา นักวิจัยและผู้สอนในมหาวิทยาลัยทั้งในสหรัฐอเมริกาจีนและไทย รวมทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยในประเทศไทย มาใช้ในการถ่ายทอดในชุดบทเรียนนี้ ข้อมูลเชิงลึกที่อยู่ในชุดบทเรียนนี้มาจากทั้งงานวิจัยที่ศาสตราจารย์ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้ทำเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980s ผลการวิจัยจากทั่วโลกตลอดจนประสบการณ์ของอาจารย์ในฐานะครูและผู้บริหารการศึกษาในประเทศไทย ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี สามารถพูดไทยได้ และได้เคยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านภาวะผู้นำโรงเรียนให้กับครูและผู้บริหารกว่า 15,000 คน

ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้รับฉายาว่าเป็น บิดาแห่งภาวะผู้นำทางวิชาการ เนื่องจากท่านมีผลงานที่เป็นแบบฉบับในการสร้างกรอบแนวคิดบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในบทความวิจัยเรื่อง Assessing the Instructional Management Behavior of the Principal” (Hallinger & Murphy, 1985) ซึ่งกรอบแนวคิดการวิจัยดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในงานวิจัยมากกว่า 1000 เรื่องใน 35 ประเทศทั่วโลก ข้อค้นพบดังกล่าวตลอดจนงานวิจัยอื่นๆที่นำโมเดลของศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ไปใช้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบทบาท ความรับผิดชอบ การเตรียมและพัฒนาผู้อำนวยการโรงเรียนทั่วโลก ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้รับอิทธิพลทางความคิดที่นำมาสู่การพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการ จากที่ปรึกษาของเขา คือ ศาสตราจารย์ เอดวิน บริจเจส โดยเฉพาะบทความเรื่อง “Instructional leadership: A concept re‐examined” (Bridges, 1967).

Bridges, E. M. (1967). Instructional leadership: A concept re‐examined. Journal of Educational Administration, 5(2), 136-147.

Hallinger, P., & Murphy, J. (1985). Assessing the instructional management behavior of principals. The elementary school journal, 86(2), 217-247.

ความเป็นมา

image
งานวิจัยทั้งจากต่างประเทศ (Fullan, 2010) รวมทั้งในประเทศไทย (Hallinger & Kantamara, 2000) สรุปว่าการเปลี่ยนแปลงแนวการปฏิบัติการสอนและการเรียนรู้ของครูในห้องเรียนจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนเชิงรุกและอย่างมีทักษะจากผู้อำนวยการโรงเรียน คำศัพท์ที่ใช้ในวรรณกรรมของต่างประเทศเพื่ออธิบายบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียน คือ ‘ภาวะผู้นำทางวิชาการ’ ผลการวิจัยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันชี้ว่าระบบการศึกษาของไทยยังไม่เน้นบทบาทนี้ในผู้อำนวยการโรงเรียน (Hallinger, 2018)

ภาวะผู้นำทางวิชาการคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ? ทำไมท่านควรสนใจเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการ หากท่านเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน? ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s ในสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับกันว่าการจัดโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้บรรลุคุณภาพทางการศึกษาได้ การให้การศึกษาที่มีคุณภาพไม่เพียงต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและทรัพยากรมนุษย์เท่านั้นแต่ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของการสอนและการเรียนรู้ในห้องเรียน ยิ่งไปกว่านั้นหลักฐานทางการวิจัยพบว่า ในขณะที่นักเรียนจากกลุ่มชนชั้นกลางและชั้นสูงประสบความสำเร็จในการเรียนรู้เมื่อโรงเรียนให้การศึกษาที่มีคุณภาพ ‘ขั้นพื้นฐาน’ นักเรียนที่มาจากบ้านที่ขาดแคลนอุปกรณ์และทรัพยากรทางการศึกษากลับมักไม่ประสบความสำเร็จ หากปราศจากการสนับสนุนทางการศึกษาจากครอบครัว นักเรียนเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับมากกว่าแค่ ‘การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน’ จากโรงเรียนของพวกเขา

การตระหนักในเรื่องนี้นำไปสู่การค้นหาโรงเรียนที่มีประสิทธิผลในการสอนนักเรียนทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่นักเรียนที่มีพื้นฐานในการศึกษาและได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านดีอยู่แล้ว (Edmonds, 1979) การศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1970s และ 1980s พบว่า ‘โรงเรียนที่มีประสิทธิผล’ จะมีผู้อำนวยการโรงเรียนที่ไม่เพียงแต่รับผิดชอบในการ ‘บริหารจัดการโรงเรียน’ แต่ยังมีบทบาท ‘ภาวะผู้นำทางวิชาการ’ ด้วย (Hallinger & Murphy, 1985) ในฐานะผู้นำทางวิชาการ ผู้อำนวยการเหล่านี้ยอมรับภาระรับผิดชอบต่อผลการเรียนรู้ของโรงเรียนและมีส่วนร่วมเชิงรุกในการ ‘นำการเรียนรู้’ มากกว่าผู้อำนวยการส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นที่การบริหารจัดการโรงเรียน (Bossert et al., 1982)

งานวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการนี้ได้รับการยอมรับจากผู้วางนโยบายว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการนำการปฏิรูปคุณภาพการศึกษาสู่การปฏิบัติในสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้ จึงค่อย ๆ นำไปสู่ชุดการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการสรรหา คัดเลือก การอบรมพัฒนา และการประเมินผู้อำนวยการโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา ในหลายประเทศทั่วโลกก็มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 2000s (Bush, 2013)

อย่างไรก็ดี งานวิจัยที่ทำขึ้นในประเทศไทยได้พบว่าผู้อำนวยการโรงเรียนส่วนใหญ่ยังไม่นำภาวะผู้นำทางวิชาการไปใช้เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบหลักในบทบาทของพวกเขา (Hallinger & Lee, 2011, 2013, 2014) ‘การบริหารจัดการ’ ยังคงเป็นแนวคิดและหน้าที่หลักของกลุ่มผู้อำนวยการโรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทย (Hallinger, 2018) บทเพลงนี้จะนำเสนอบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้อำนวยการโรงเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปในต่างประเทศ ผู้เขียนจะให้คำนิยามภาวะผู้นำทางวิชาการ อธิบายลักษณะบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียน และชี้ให้เห็นความสัมพันธ์กับบทบาททางการบริหารและจัดการอื่นของผู้อำนวยการโรงเรียน

ภาวะผู้นำทางวิชาการคืออะไร?

ในช่วงทศวรรษที่ 1960s Bridges (1967b) ให้คำนิยามภาวะผู้นำทางวิชาการในแง่ของบทบาทเฉพาะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนแสดงออกในโรงเรียน (เช่น ผู้ประเมิน ผู้ช่วยเหลือ ผู้บูรณาการ นักออกแบบ) จนถึงช่วงทศวรรษที่ 1980s นักวิจัยถึงได้พัฒนาคำนิยามที่มีสาระสำคัญมากขึ้นสำหรับบทบาทนี้ (Hallinger & Murphy, 1985)

รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการที่ได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดได้รับการพัฒนาโดย Philip Hallinger และ Joseph Murphy (1985) ประกอบด้วย 3 มิติหลักในบทบาทนี้: การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน หลายสิบปีที่ผ่านมา รูปแบบนี้ได้มีการนำไปใช้ศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการปฎิบัติของผู้อำนวยการโรงเรียนในฐานะผู้นำทางวิชาการที่ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิผลทางการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน (Heck & Hallinger, 2014)

เมื่อเวลาผ่านไปและแนวคิดภาวะผู้นำทางวิชาการได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น นักวิชาการได้มีการเสนอชื่อเรียกของบทบาทนี้ที่แตกต่างไป เช่น ภาวะผู้นำเพื่อการเรียนรู้ (leadership for learning) ภาวะผู้นำที่เน้นการเรียนรู้เป็นสำคัญ (learning-centered leadership) ในปี 2022 ผู้เขียนขอให้คำนิยามภาวะผู้นำทางวิชาการดังต่อไปนี้

ภาวะผู้นำทางวิชาการ ประกอบด้วย กรอบแนวคิดและชุดการปฏิบัติที่ผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้นำในโรงเรียนคนอื่น ๆ ใช้ในการกระตุ้นและสนับสนุนครูให้มีความสามารถในการเรียนรู้และการสอนเพื่อความสำเร็จของผู้เรียนทุกคนในโรงเรียน

บทบาทภาวะผู้นำหรือการบริหาร?

image
ในประเทศไทย คำว่า ‘ภาวะผู้นำ’ ‘การบริหาร’ และ ‘การจัดการ’ มักถูกใช้แทนกันได้ยกตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนในประเทศไทยมักจะถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ผู้บริหาร’ โดยไม่ได้มีความแตกต่างในแง่ของความหมายของชื่อตำแหน่งนั้น อย่างไรก็ดี ในต่างประเทศ คำศัพท์ที่กล่าวมานั้นมีความหมายที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น คำกล่าวที่ว่า ‘เรานำคน แต่เราบริหารสิ่งของ’ ตามที่ผู้เขียนได้อภิปรายในบทเรียนก่อนหน้าในชุดการเรียนรู้นี้ บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนไทยมักจะเน้นไปที่ความรับผิดชอบทางการบริหารและการจัดการ

หัวใจหลักของภาวะผู้นำทางวิชาการอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียนประสบความสำเร็จในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติสอนและการเรียนรู้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำทางวิชาการสนับสนุนความรู้สึกของครู (เช่น ความไว้วางใจ และความผูกพัน) และความเชื่อร่วมกันว่า ‘เราประสบความสำเร็จได้’ และ ‘ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้’ (เช่น แนวคิดการรับรู้ความสามารถตนเองของครู [teacher efficacy]  แนวคิดการมองโลกเชิงบวกทางวิชาการ [academic optimism] และการก่อการ [agency]) ผลการวิจัยยืนยันว่า หากปราศจากคุณลักษณะเชิงสัมพันธ์เหล่านี้ของบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการ จะเป็นการยากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้สำเร็จ (Kulophas & Hallinger, 2020) ข้อค้นพบเหล่านี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Bridges (1977) ที่เสนอว่า ‘ผู้นำบรรลุผลได้ผ่านการทำงานของผู้อื่น’

ความเชื่อที่ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถแสดงบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการอย่างประสบความสำเร็จได้จากการบริหารอาคารสถานที่และงบประมาณ หรือจากการกำหนดกฎระเบียบต่าง ๆ เท่านั้น เป็นความเชื่อที่ผิดในเชิงพื้นฐาน ในทางตรงข้าม การเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการบริหารจัดการที่ดี ดังนั้น ผู้นำทางวิชาการยังคงต้องบริหารตารางเวลา งบประมาณ ห้องเรียน และสารสนเทศ แต่พวกเขาบริหารภาระหน้าที่เหล่านี้เพื่อสนับสนุนความพยายามในการ ‘นำ’ บุคลากรและนักเรียนในด้านการสอนและการเรียนรู้ (Sebastian et al., 2019)

ยกตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการโรงเรียนที่มุ่งพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพจะต้องมีความสามารถในการสื่อสารและสร้างการสนับสนุนสำหรับวิสัยทัศน์ร่วมของการเรียนรู้ (ภาวะผู้นำ) อย่างไรก็ดี การนำวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติในแต่ละวันของโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องมีความสามารถในการหาและระดมทรัพยากรทางการเงินอย่างชาญฉลาด (การบริหารจัดการ) ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องไม่เพียงแต่แสดงค่านิยมของการเรียนรู้ส่วนบุคคลและทางวิชาชีพเท่านั้น (ภาวะผู้นำ) แต่ต้องมอบหมายความรับผิดชอบให้ผู้นำครูและบริหารตารางการสอน (การบริหารจัดการ) ที่ทำให้ครูได้มีโอกาสสังเกตการในห้องเรียนอื่น และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้จากเพื่อนครูระหว่างการทำงานในแต่ละวัน

กรณีของการบริหารแต่ไม่ใช่การนำการสอนและการเรียนรู้

มีผู้อำนวยการโรงเรียนเอกชนที่ผู้เขียนรู้จักคนหนึ่ง เธอเป็นนักบริหารและจัดการที่มีความสามารถแต่ไม่ได้เป็นผู้นำ เธอได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับโรงเรียน ออกแบบกลยุทธ์ พัฒนาตัวบ่งชี้ผลการปฎิบัติงานเพื่อวัดการบรรลุเป้าหมาย และสร้างระบบการให้รางวัล เธอปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนการดำเนินการอย่างระมัดระวัง นี่เป็นตัวชี้วัดของการบริหารและการจัดการที่ประสบความสำเร็จ จริงๆแล้วในช่วงเวลา 3 ปี เธอได้บรรลุเป้าหมายหลายประการที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหมดสัญญาจ้าง เธอกลับไม่ได้รับการต่อสัญญา ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

เนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนคนดังกล่าวได้กำหนดบทบาทงานว่าเป็นผู้บริหาร เธอได้จำกัดขอบเขตการทำงานภายในโครงสร้างอย่างเป็นทางการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เธอไม่มีวิสัยทัศน์ในการเรียนรู้ และไม่ได้เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหาร ครู หรือ นักเรียน ยกตัวอย่างเช่น รองผู้อำนวยการคนหนึ่งกล่าวว่า “เธอไม่เคยไว้วางใจให้ผมทำหรือตัดสินใจอะไรด้วยตัวผมเอง แม้แต่งานที่เป็นความรับผิดชอบของผม”

ผู้อำนวยการโรงเรียนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคลากรในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสอนและการเรียนรู้ และแทบจะไม่เคยเดินตรวจตราตามห้องเรียน เธอไม่เคยพบกับครูเพื่อให้ข้อมูลสะท้อนกลับในด้านการสอน หรือพูดคุยถึงความต้องการจำเป็นของครู เมื่อเวลาผ่านไป ครูต่างขาดความไว้วางใจในตัวเธอและนักเรียนก็แทบจะไม่รู้จักว่าเธอเป็นใคร ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้อำนวยการโรงเรียนร้องขอสิ่งใด จึงมักได้รับความร่วมมือจากครูอย่างเพียงผิวเผิน ครูปฏิบัติตามคำสั่งแต่ขาดความมุ่งมั่น

ในกรณีนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นนักบริหารจัดการที่มีความสามารถ และโรงเรียนดำเนินงานไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ดี การขาดบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการทำให้ครูขาดขวัญและกำลังใจความมุ่งมั่น และความพึงพอใจ และทำให้ความก้าวหน้าในการพัฒนาโรงเรียนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจะบรรลุเป้าหมายในหลายเรื่อง แต่คณะครูเกิดความไม่พึงพอใจและมีเชื่อว่า ‘เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก’

กรอบแนวคิดภาวะผู้นำทางวิชาการ

image
รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการที่ได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดได้รับการพัฒนาเมื่อ 40 ปีที่แล้วในสหรัฐอเมริกา โดย Philip Hallinger และ Joseph Murphy (1985) ประกอบด้วย 3 มิติหลักในบทบาทนี้: การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน หลายสิบปีที่ผ่านมา รูปแบบนี้ได้มีการนำไปใช้ศึกษาอย่างกว้างขวางและยืนยันในแง่ของการปฎิบัติของผู้อำนวยการโรงเรียนในฐานะผู้นำทางวิชาการที่ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิผลทางการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน (Hallinger & Heck, 1996; Hallinger & Wang, 2015) รูปแบบนี้ได้กลายเป็นกรอบแนวคิดที่สำคัญในการปรับคำนิยามของบทบาทของผู้บริการในหลายประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน อิสราเอล ชิลี ตุรกี มาเลเซีย โอมาน และสิงคโปร์

การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน
  • การกำหนดเป้าหมายของโรงเรียน
  • การสื่อสารเป้าหมายของโรงเรียน
การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
  • การประสานงานหลักสูตร
  • การนิเทศและประเมินการสอน
  • การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน
  • การพิทักษ์เวลาการเรียนการสอน
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับครู
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับการเรียนรู้
  • การส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาชีพ
  • การปรากฏตัวให้เห็นบ่อยครั้งในโรงเรียน
(Hallinger & Murphy, 1985)
image

การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน

ในฐานะผู้นำทางวิชาการ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องมีวิสัยทัศน์ทางการเรียนรู้ของตนที่สอดคล้องกับพันธกิจของโรงเรียน (Hallinger & Murphy, 1985) ไม่มีวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้หนึ่งที่จะเหมาะกับบริบทของทุกโรงเรียน นั่นคือ แต่ละโรงเรียนมีบริบทสำหรับการเรียนรู้ของตนเอง และผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีประสิทธิผลจะต้องวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นที่สำคัญของโรงเรียนอย่างใกล้ชิด ผู้นำทางวิชาการจะค่อย ๆพัฒนาวิสัยทัศน์ร่วมทาวการเรียนรู้ เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายและความประสงค์ของโรงเรียนเฉพาะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ (Barth, 1990)

ผู้นำทางวิชาการเป็นผู้มุ่งสู่เป้าหมาย (Edmonds, 1979) แม้ในสภาวะที่มีวาระสำคัญอื่น ๆ เกิดขึ้น พวกเขาสามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนสำหรับโรงเรียนและกระตุ้นให้ผู้อื่นร่วมมือร่วมแรงในการบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมทางการเรียนรู้เพื่อโรงเรียน ในโรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางการจัดการเรียนรู้ การกำหนดทิศทางนี้จะเน้นไปที่การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ (Bossert et al., 1982; Edmonds, 1979)
image

Manages the Instructional Program

มิตินี้ของบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการเกี่ยวข้องกับทั้งภาวะผู้นำและการบริหารจัดการ ดังที่กล่าวไปข้างต้น ผู้นำทางวิชาการไม่สามารถทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับครูได้หากปราศจากการพัฒนาความสัมพันธ์ทางวิชาชีพที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี มิตินี้รวมไปถึงการบริหารสาระสนเทศที่เกี่ยวข้องกับผลการเรียนของผู้เรียนและผลการปฎิบัติงานของบุคลากร รวมถึงวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและการปฎิบัติการเรียนการสอน

ผู้นำทางวิชาการทำงานเชิงรุกเพื่อช่วยให้ครูทุกคนจัดการสอนอย่างมีประสิทธิผล (Hallinger & Murphy, 1985) บทบาทนี้อาจเกี่ยวข้องกับการโค้ช การจัดตารางเวลาที่ทำให้ครูสามารถจัดประชุมเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประเด็นการเรียนรู้ การสร้างโอกาสให้ครูสามารถสังเกตการสอนของครูคนอื่นเมื่อมีการใช้เทคนิคใหม่ การประสานการใช้หลักสูตร และด้วยการประเมินคุณภาพการสอน ดังที่กล่าวมา ภาระหน้าที่ในมิตินี้ มักต้องอาศัยการแบ่งหน้าที่และการมอบอำนาจ หัวใจสำคัญคือผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องมีกรอบความคิดของการทำให้มั่นใจว่า สิ่งที่ครูปฏิบัติในแต่ละห้องเรียนมีความเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนและการปฏิบัติของครูคนอื่น (Barth, 1990)

ผู้นำทางวิชาการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และการพัฒนาครู ซึ่งสอดคล้องกับความรับผิดชอบหลักสำหรับการพัฒนาการสอนและการเรียนรู้ (Liu & Hallinger, 2018) พวกเขาลงมือปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง สร้างแรงจูงใจ และสนับสนุนการเรียนรู้ทางวิชาชีพและการนำทักษะใหม่ไปใช้ในชั้นเรียนของครู (Hallinger et al., 2017; Kulophas & Hallinger, 2020) ผู้อำนวยการโรงเรียนแสดงบทบาทหลักในมิตินี้ ด้วยการทำตนเป็นตัวอย่างในการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การบริหารตารางเวลา การจัดสรรทรัพยากร การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้กับครู และการสนับสนุนการนำองค์ความรู้ใหม่ไปใช้ในชั้นเรียน (Somprach et al., 2017) การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของครูนี้มีความจำเป็นต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา เนื่องจากครูจะต้องมีความสามารถในการใช้วิธีการสอนให้การเรียนรู้ใหม่เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใหม่ได้ (Fullan, 2010)
image

การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน

ผู้นำทางวิชาการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกที่นำไปสู่มาตรฐานและความคาดหวังระดับสูงสำหรับทั้งครูและผู้เรียน เครื่องมือสำคัญ 2 ประการที่ผู้นำทางวิชาการใช้คือ การสื่อสารความคาดหวัง และการเป็นแบบอย่างในทางปฏิบัติ ถึงแม้ว่าครูอาจจะไม่เห็นด้วยกับผู้อำนวยการในทุกเรื่อง พวกเขามักให้ความสนใจกับสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนพัฒนาความสัมพันธ์ทางวิชาชีพเชิงบวกกับครู (เช่น การสร้างความไว้วางใจ) ก็จะทำให้ครูให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น (Hallinger et al., 2018)

บรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกอาจสะท้อนมาจากความเชื่อของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูควรพัฒนาการรับรู้ความสามารถร่วมให้เกิดขึ้น การรับรู้ความสามารถร่วม (collective efficacy) เป็นความเชื่อร่วมกันของครูว่า ครูทุกคนมีความสามารถในการพัฒนาทักษะใหม่ และสามารถสอนผู้เรียนอย่างประสบผลสำเร็จ ผู้นำทางวิชาการทำตนเป็นแบบอย่างในการรับรู้ความสามารถตนเอง และมุ่งพัฒนาให้ครูเกิดการรับรู้ความสามารถร่วมในโรงเรียน

ผู้นำทางวิชาการสื่อสารและปฏิบัติเป็นแบบอย่างตามความคาดหวังและมาตรฐานได้ โดยผ่านการตัดสินใจในงานในแต่ละวัน และผ่านการสังเกตุของบุคลากร ผู้เรียน และพ่อแม่ผู้ปกครอง หลักก็คือ ‘ปรากฏตัวเมื่อมีเรื่องสำคัญ และทำให้เป็นเรื่องสำคัญเมื่อท่านปรากฎตัว’ (Be visible where it matters, and make it matter where you are visible) ผู้นำทางวิชาการจะปรากฏตัวให้คนเห็นในโรงเรียน ในทางเดิน และในห้องเรียน ในที่ที่พวกเขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับครูและนักเรียนได้ หลักการนี้มักถูกเรียกว่า ‘การบริหารแบบเดินไปรอบ ๆ’ (management by walking around: MBWA) ผู้อำนวยการโรงเรียนใช้หลักการนี้ในการสอดส่องปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน สื่อสารความคาดหวัง เสริมแรงความสำเร็จเชิงบวกของครูและนักเรียน และแก้ไขปัญหาเมื่อจำเป็น สิ่งสำคัญคือการนำหลัก MBWA ไปใช้ให้เกิดสัมฤทธิ์ผลนั้นจะต้องเกิดจาก ‘เจตนา’ ที่จะทำให้เป็นเรื่องสำคัญเมื่อท่านปรากฎตัว

ใครรับผิดชอบภาวะผู้นำทางวิชาการ?

image
ในขณะที่นัก วิจัยและผู้วางนโยบายให้ความสำคัญกับภาวะผู้นำทางวิชาการในฐานะบทบาทหนึ่งของผู้อำนวยการโรงเรียน ในทางปฏิบัติแล้ว ภาวะผู้นำทางวิชาการเป็นบทบาทที่สามารถแบ่งปันให้กับผู้บริหารคนอื่น (เช่น รองผู้อำนวยการโรงเรียน) และครูผู้นำระดับกลาง (เช่น หัวหน้าสาระการเรียนรู้ หัวหน้าระดับชั้น หรือหัวหน้าโค้ช เป็นต้น) โดยแท้จริงแล้ว ความท้าทายที่สำคัญของการปฏิบัติตามบทบาทภาวะผู้นำทางวิชาการอย่างมีชั้นเชิง ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อำนวยการโรงเรียนในการสื่อสาร จัดโครงสร้าง มอบหมายอำนาจ และแบ่งปันความรับผิดชอบสำหรับงานที่สำคัญในการนำการเรียนรู้ (Hallinger & Wang, 2015) ผู้นำทางวิชาการที่พยายามจะทำทุกอย่าง ‘แต่เพียงผู้เดียว’ จะพบกับความรับผิดชอบมากมายที่ประดังเข้ามาและรู้สึกหมดไฟจากข้อผูกมัดด้านเวลาและขอบเขตของงาน (Hallinger & Murphy, 2013)

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า ภาระของภาวะผู้นำทางวิชาการจะถูกแบ่งปันอย่างเป็นระบบ (เช่น การโค้ช การกำกับติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน) ผู้อำนวยการโรงเรียนยังคงต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติตามบทบาทของผู้นำทางวิชาการคนอื่น และต่อการพิทักษ์ความเชื่อมโยงและการประสานงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง (เช่น การสื่อสารวิสัยทัศน์ การประสานงานหลักสูตร)

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอย่างหนึ่งคือ การตัดสินใจควรมาจากอำนาจของผู้อำนวยการคนเดียวหรือการตัดสินใจร่วมกันในทีม โดยแท้จริงแล้ว แถบระดับของกระบวนการตัดสินใจ มีตั้งแต่ การตัดสินใจโดยผู้อำนวยการโรงเรียนคนเดียว การปรึกษากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนอื่น จนถึงการมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับผู้อื่น (Bridges, 1967a) มีหลัก 3 ประการที่สามารถนำไปใช้การกำหนดรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจที่ใช้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใต้สถานการณ์การตัดสินใจที่ต่างกัน

ประการที่หนึ่งคือ ผู้ที่มีข้อมูลที่มากที่สุดในเรื่องที่ต้องการตัดสินใจควรมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจนั้น ครูหลายคนอาจไม่ต้องการภาระในการตัดสินใจในประเด็นที่ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับการปฏิบัติการสอนในชั้นเรียน แต่พวกเขาควรได้รับโอกาสแสดงความคิดเห็นในการตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง ประการที่สอง ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบต่อการนำไปปฏิบัติควรมีอิทธิพลมากที่สุดกับการตัดสินใจนั้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงมักจะล้มเหลวเนื่องจากส่วนผสมของอุปสรรคของการนำไปปฏิบัติและการต่อต้านของบุคลากร (Fullan, 2010) การนำครูเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบการเปลี่ยนแปลงของการสอนและการเรียนรู้สามารถลดอุปสรรคดังกล่าวได้ ประการสุดท้าย เราควรตระหนักว่า การบริหารโรงเรียนอยู่ภายใต้โครงสร้างแบบลำดับขั้นซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนได้รับอำนาจหน้าที่เฉพาะที่มากับภาระรับผิดชอบ ดังนั้น การตัดสินใจบางเรื่อง ผู้อำนวยการโรงเรียนยังคงต้องมีอำนาจในการยินยอมหรือยับยั้งได้

อย่างไรก็ดี การนำหลักทั้ง 3 ประการไปใช้ขึ้นอยู่กับบริบทของโรงเรียน ยกตัวอย่างเช่น Day (2009) พบว่า การมีส่วนร่วมของครูที่มีผลิตภาพในการตัดสินใจในระดับโรงเรียนได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโรงเรียนอยู่ในสถานการณ์ช่วงต้นของการ ‘พลิกกลับมา’ ความเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลง การขาดวิสัยทัศน์ร่วม และระดับความมุ่งมั่นในหมู่บุคลากรที่แตกต่างสร้างข้อจำกัดต่อประสิทธิภาพของการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ถึงกระนั้น เมื่อโรงเรียนพัฒนาศักยภาพและผลการปฎิบัติงานที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ การตัดสินใจร่วมก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน Day (2009) ตั้งชื่อให้กับการกระจายภาวะผู้นำแบบก้าวหน้านี้ว่า ‘ภาวะผู้นำแบบแบ่งชั้น’ (layered leadership)

ข้อสังเกตดังกล่าวนำไปสู่หลักถัดมา ที่สามารถนำไปใช้แนวทางสำหรับผู้นำทางวิชาการ: ‘ท่านไม่สามารถออกคำสั่งว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญ แต่คำสั่งที่ออกมาจากท่านต้องเป็นเรื่องสำคัญ’ (McLaughlin, 1998) ข้อความนี้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของตำแหน่ง สถานะ และอำนาจหน้าที่ ในการเปลี่ยนแปลงจิตใจและความคิดของคน ในโรงเรียนซึ่งครูส่วนใหญ่ถือเป็น ‘แนวหน้า’ ของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ มีแค่ครูไม่กี่คนที่จะลุกมาจากเตียงนอนแต่เช้าตรู่ทุกวัน เพียงเพื่อมาสอนให้นักเรียนมีคะแนนสอบสูงขึ้น (Barth, 1986) ที่จริงแล้ว ผลการวิจัยที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างทางปฏิบัติระหว่างความมุ่งหวังของการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิบัติจริงในห้องเรียน (Hallinger, 2010a)

บทสรุป

ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990s เป็นต้นมา บริบทของการศึกษาได้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย ในขณะที่ความรับผิดชอบทางด้านการบริหารและการจัดการเป็นบทบาทหลักของผู้อำนวยการโรงเรียน เมื่อประเทศไทยได้เริ่มวางโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา การบรรลุเป้าหมายด้านคุณภาพทางการศึกษาจำเป็นที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องรับบทบาทผู้นำทางวิชาการ

ในปี 2022 ความคาดหวังและมาตรฐานที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนำมาปรับใช้ ต่างมุ่งเน้นให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมีความรู้ ทักษะ เจตคติ และพฤติกรรมดังต่อไปนี้

  • เชื่อว่าครูและนักเรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้
  • สื่อสารวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้สำหรับโรงเรียน
  • ปฏิบัติเป็นแบบอย่างตามวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ด้วยพฤติกรรมทางวิชาชีพส่วนตน
  • สร้างฉันทามติจากพันธกิจทางวิชาการร่วมสำหรับโรงเรียน
  • ยอมรับความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของโรงเรียน
  • พัฒนาทีมผู้นำทางวิชาการที่มีความสามารถในการสนับสนุนการพัฒนาการสอนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
  • นำนโยบาย กฏและระเบียบของรัฐ ไปใช้ในการสนับสนุนการพัฒนาการเรียนรู้และการสอนในโรงเรียน
  • การจัดหาและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผลเพื่อสนับสนุนการสอนและการเรียนรู้
  • รู้วิธีการสอนและการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ที่สูงขึ้นสำหรับผู้เรียน
  • ติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนเชิงรุกและปรับวิธีการสอนและการเรียนรู้ที่ประกันความก้าวหน้าของผู้เรียนภายในเวลาที่เหมาะสม
  • สนับสนุนการพัฒนาทักษะใหม่ผ่านการชี้แนะ
  • สร้างสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนที่มีความไว้วางใจเป็นฐาน ตลอดจนความคาดหวังต่อผลงานในระดับสูงสำหรับบุคลากรและนักเรียน
  • สนับสนุนการเรียนรู้ของครูผ่านการพัฒนาชุมชนทางการเรียนรู้ทางวิชาชีพ
  • สร้างภาคีเครือข่ายภายนอกโรงเรียนกับครอบครัวและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นในชุมชนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน

คัดลอกลิงก์บทความเพื่อส่งต่อ