บทนำ

image
โครงการภาวะผู้นำทางวิชาการประเทศไทยได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาของไทย ด้วยการนำองค์ความรู้ที่ทันสมัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำโรงเรียนมาให้ความรู้กับนักการศึกษาของไทย โครงการซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยมูลนิธิเอเชีย มีการนำเสนอสาระการเรียนรู้ในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบวิดีโอ เสียง และสิ่งพิมพ์ เกี่ยวกับภาวะผู้นำและการบริหารโรงเรียน โดยเน้นไปที่ภาวะผู้นำทางวิชาการเป็นหลัก ชุดบทเรียนหัวข้อภาวะผู้นำทางวิชาการนี้ ซึ่งแต่งโดยศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ถือเป็นสาระการเรียนรู้หลักของชุดการเรียนรู้นี้ ชุดบทเรียนจะนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย ที่จะแสดงให้เห็นว่าเพราะเหตุใดภาวะผู้นำทางวิชาการจึงเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ภาวะผู้นำทางวิชาการคืออะไร และภาวะผู้นำทางวิชาการมีการปฏิบัติอย่างไรในโรงเรียน โดยองค์ความรู้เหล่านี้มีฐานมาจากงานวิจัยและการปฏิบัติจากทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย

ดร.ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ เป็นศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นศาสตราจารย์พิศิษฐ์อาคันตุกะ (Distinguished visiting professor) ของพรรควิชาภาวะผู้นำและการจัดการทางการศึกษามหาวิทยาลัยโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้นำประสบการณ์กว่า 50 ปี ในฐานะครูและผู้บริหารโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาจากสหรัฐอเมริกา นักวิจัยและผู้สอนในมหาวิทยาลัยทั้งในสหรัฐอเมริกาจีนและไทย รวมทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยในประเทศไทย มาใช้ในการถ่ายทอดในชุดบทเรียนนี้ ข้อมูลเชิงลึกที่อยู่ในชุดบทเรียนนี้มาจากทั้งงานวิจัยที่ศาสตราจารย์ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้ทำเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980s ผลการวิจัยจากทั่วโลกตลอดจนประสบการณ์ของอาจารย์ในฐานะครูและผู้บริหารการศึกษาในประเทศไทย ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี สามารถพูดไทยได้ และได้เคยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านภาวะผู้นำโรงเรียนให้กับครูและผู้บริหารกว่า 15,000 คน

ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้รับฉายาว่าเป็น บิดาแห่งภาวะผู้นำทางวิชาการ เนื่องจากท่านมีผลงานที่เป็นแบบฉบับในการสร้างกรอบแนวคิดบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในบทความวิจัยเรื่อง Assessing the Instructional Management Behavior of the Principal” (Hallinger & Murphy, 1985) ซึ่งกรอบแนวคิดการวิจัยดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในงานวิจัยมากกว่า 1000 เรื่องใน 35 ประเทศทั่วโลก ข้อค้นพบดังกล่าวตลอดจนงานวิจัยอื่นๆที่นำโมเดลของศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ไปใช้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบทบาท ความรับผิดชอบ การเตรียมและพัฒนาผู้อำนวยการโรงเรียนทั่วโลก ศาสตราจารย์ ฟิลลิป ฮาริงเจอร์ ได้รับอิทธิพลทางความคิดที่นำมาสู่การพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางวิชาการ จากที่ปรึกษาของเขา คือ ศาสตราจารย์ เอดวิน บริจเจส โดยเฉพาะบทความเรื่อง “Instructional leadership: A concept re‐examined” (Bridges, 1967).

Bridges, E. M. (1967). Instructional leadership: A concept re‐examined. Journal of Educational Administration, 5(2), 136-147.

Hallinger, P., & Murphy, J. (1985). Assessing the instructional management behavior of principals. The elementary school journal, 86(2), 217-247.

ความเป็นมา

image
ในทั่วทุกมุมโลกเมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนเดินเข้าไปในโรงเรียนพวกเขาจะรู้สึกถึงบรรยากาศและให้ข้อสรุปในใจเกี่ยวกับคุณภาพของโรงเรียนนั้น โรงเรียนที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่? โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยหรือไม่? ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสหรือไม่? ครูบุคลากรและนักเรียนดูจากจดจ่อกับสิ่งที่ทำอย่างตั้งใจหรือไม่? โรงเรียนดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนหรือไม่? หนึ่งในสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะให้ข้อสรุปในใจคือ ‘โรงเรียนดี’ จะมี ‘ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ดี’ (Grobman & Hines, 1956) ถึงกระนั้น โรงเรียนดีได้เป็นเพราะมีผู้อำนวยการโรงเรียน หรือผู้อำนวยการโรงเรียนดูเหมือนประสบผลสำเร็จเพราะปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่ดี?

ความสำคัญของคำถามนี้นำไปสู่การทำวิจัยทั่วโลกในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการค้นหาว่าอะไรทำให้ ‘โรงเรียนดี’ ? หนึ่งในข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้คือความสำเร็จของธุรกิจมักจะมีความเกี่ยวข้องกับภูมิหลังของนักเรียนที่มาเรียนในโรงเรียน โรงเรียนที่ให้บริการทางการศึกษากับนักเรียนที่มาจากกลุ่มสังคมชั้นกลางและสูงกว่ามักจะมีข้อได้เปรียบ นักเรียนเหล่านี้มาโรงเรียนด้วย ‘ความได้เปรียบ’ จากความพร้อมทางการเงิน (เช่น การได้รับการสอนเสริม) อุปกรณ์การเรียนรู้ (เช่น หนังสือและคอมพิวเตอร์) และทรัพยากรทางมนุษย์ (เช่น ระดับการศึกษาของพ่อแม่ ความคาดหวัง และการสนับสนุน) ‘ความได้เปรียบ’ เหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปตลอดหลายปีที่พ่อแม่ยังคงให้การสนับสนุนที่สำคัญโดยตรงต่อการเรียนรู้ของบุตรหลาน

ในทางตรงกันข้าม โรงเรียนที่จัดการศึกษาให้กับนักเรียนจำนวนมากที่มาจากครอบครัวที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการศึกษา และขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองในการเรียนรู้ มัจฉะประเชิญหน้ากับความท้าทายที่แตกต่างกันอย่างมากในการที่จะได้ชื่อว่าเป็น ‘โรงเรียนดี’ ถ้าโรงเรียนจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เปลี่ยนไปตามนโยบายและกฎระเบียบ นักเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ก็จะเริ่มต้นการเรียนอย่างเสียเปรียบนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆ ทั้งยังคงอยู่ในสถานะเสียเปรียบของการเรียนในแต่ละปีที่ผ่านไป โรงเรียนที่จัดการศึกษาให้นักเรียนกลุ่มนี้จะต้องพยายามมากขึ้นที่จะช่วยให้นักเรียนประสบผลสำเร็จทางการเรียน ภายใต้ความขาดแคลนของทรัพยากรในโรงเรียนและการสนับสนุนจากครอบครัว

การตระหนักถึงความท้าทายเหล่านี้ส่งผลให้นักวิจัยพยายามศึกษาและเรียนรู้จากโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ (Edmonds, 1979) โรงเรียนเหล่านี้ได้ค้นพบแนวทางที่จะทำให้นักเรียนทุกคนเรียนรู้และประสบความสำเร็จตามศักยภาพของตน โรงเรียนเหล่านี้จึงได้รับการขนานนามว่า ‘โรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการ’ (Purkey & Smith, 1983)

นักวิจัยพบว่าโรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการ มักจะมีผู้อำนวยการโรงเรียนที่ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าบทบาทพื้นฐานของ ‘ผู้บริหารโรงเรียน’ ในขณะที่พวกเขายังทำหน้าที่รับผิดชอบทางการบริหาร พวกเขายังทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิชาการ (Edmonds, 1979) คุณลักษณะเด่น 2 ประการจากผลการวิจัยเกี่ยวกับผู้อำนวยการโรงเรียนในโรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้นำทางวิชาการ คือ

ประการแรก ในฐานะผู้นำทางวิชาการ พวกเขายอมรับหน้าที่รับผิดชอบสำหรับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของโรงเรียน พวกเขาตั้งความคาดหวังและมาตรฐานในระดับที่สูงสำหรับนักเรียนแม้จะมีสถานการณ์ที่ท้าทาย พวกเขาเชื่อว่านักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้และไม่ยอมที่จะโทษว่าความล้มเหลวทางการเรียนของนักเรียนเกิดจากภูมิหลังของนักเรียน นอกจากนี้พวกเขายังปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างในการตั้งความคาดหวังที่สูงในการมีปฏิสัมพันธ์กับทั้งครูและนักเรียน

ประการที่สอง พวกเขาไม่ยกให้การจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้เป็นหน้าที่ของครูแต่ฝ่ายเดียว พวกเขาทำงานร่วมกับครูอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ ในฐานะผู้นำทางวิชาการ พวกเขาสร้างวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ สื่อสารความคาดหวังที่สูง พวกเขาทำตนเป็นตัวอย่างทั้งในการปฏิบัติและการตัดสินใจ ชี้แนะครู และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้สำหรับทั้งครูและนักเรียน ภาวะผู้นำทางวิชาการ จึงได้รับการนิยามว่า กรอบความคิดและการปฏิบัติที่ผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้นำโรงเรียนคนอื่นๆใช้ในการกระตุ้นและสนับสนุนความสามารถของครูในการเรียนรู้และการสอนเพื่อความสำเร็จของนักเรียนทุกคนในโรงเรียน

ในบทเรียนนี้ ผู้เขียนจะนิยามความหมายของภาวะผู้นำทางวิชาการโดยใช้กรอบความคิดที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก กรอบแนวคิดนี้ได้รับการนำเสนอในช่วงต้นของชุดการเรียนรู้นี้ แต่ในบทเรียนนี้จะเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก

กรอบแนวคิดสำหรับภาวะผู้นำทางวิชาการ

image
รูปแบบภาวะผู้นำทางวิชาการที่ได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดได้รับการพัฒนาเมื่อ 40 ปีที่แล้วในสหรัฐอเมริกา โดย Philip Hallinger และ Joseph Murphy (1985) ประกอบด้วย 3 มิติหลักในบทบาทนี้: การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน หลายสิบปีที่ผ่านมา รูปแบบนี้ได้มีการนำไปใช้ศึกษาอย่างกว้างขวางและยืนยันในแง่ของการปฏิบัติของผู้อำนวยการโรงเรียนในฐานะผู้นำทางวิชาการที่ส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิผลทางการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน (Hallinger & Heck, 1996; Hallinger & Wang, 2015) รูปแบบนี้ได้กลายเป็นกรอบแนวคิดที่สำคัญในการปรับคำนิยามของบทบาทของผู้บริการในหลายประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน อิสราเอล ชิลี ตุรกี มาเลเซีย และประเทศอื่น ๆ

การกำหนดพันธกิจทางวิชาการของโรงเรียน
  • การกำหนดเป้าหมายของโรงเรียน
  • การสื่อสารเป้าหมายของโรงเรียน
การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
  • การประสานงานหลักสูตร
  • การนิเทศและประเมินการสอน
  • การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน
  • การพิทักษ์เวลาการเรียนการสอน
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับครู
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับการเรียนรู้
  • การส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาชีพ
  • การปรากฏตัวให้เห็นบ่อยครั้งในโรงเรียน
(Hallinger & Murphy, 1985)

การระบุพันธกิจทางวิชาการสำหรับโรงเรียน

การสังเคราะห์งานวิจัยที่เป็นที่รู้จักที่ศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลภาวะผู้นำของโรงเรียนที่ศึกษาอยู่ในช่วงทศวรรษ 1990s โดย Hallinger and Heck (1996) ได้ระบุวิสัยทัศน์และเป้าหมายว่าเป็นเครื่องมือที่มีผลกระทบสูงสุดที่ผู้นำโรงเรียนใช้ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ ไม่นานมานี้ การวิจัยอภิมานของอิทธิพลภาวะผู้นำโรงเรียน Robinson และคณะ (2008) ได้ยืนยันข้อสรุปดังกล่าว ในงานดังกล่าว ระบุว่า วิสัยทัศน์และเป้าหมายเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลมากเป็นอันดับ 2 ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ในการยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียน วิสัยทัศน์หมายถึงภาพกว้างของทิศทางที่โรงเรียนจะเดินทางไปข้างหน้า (เช่น การจัดการศึกษาแบบองค์รวมกับเด็ก การพัฒนาโรงเรียนที่ยั่งยืน) ในทางตรงข้าม เป้าหมายหมายถึง เป้าหมายเฉพาะที่จำเป็นต้องบรรลุผลเพื่อให้เดินทางไปถึงวิสัยทัศน์นั้น (Hallinger & Heck, 2002)

มิติด้านการกำหนดพันธกิจทางวิชาการ ประกอบด้วย 2 ภารกิจคือ การกำหนดเป้าหมายของโรงเรียน และการสื่อสารเป้าหมายของโรงเรียน ภารกิจทั้งสองเกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในการทำงานร่วมกับบุคลากรเพื่อสร้างความมั่นใจว่าโรงเรียนมีพันธกิจที่ชัดเจนและพันธกิจนั้นมุ่งเน้นไปที่การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ถึงแม้ว่ามิตินี้จะไม่ได้สมมุติว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องเป็นผู้กำหนดพันธกิจของโรงเรียนแต่ผู้เดียว มิตินี้เสนอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องรับผิดชอบในการสร้างความมั่นใจว่าจะต้องมีการกำหนดพันธกิจดังกล่าวให้เกิดขึ้นและทำการสื่อสารให้บุคลากรทุกคนทราบ มิตินี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโรงเรียนที่เน้นผู้เรียนรู้เป็นศูนย์กลาง
image

การกำหนดเป้าหมายโรงเรียน

วิสัยทัศน์และเป้าหมายสร้างผลกระทบผ่านกระบวนการ 2 ประการ (Hallinger & Heck, 2002) ประการแรก วิสัยทัศน์และเป้าหมายสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนร่วมแรงเสียสละกำลังและเวลาเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน พลังในการสร้างแรงจูงใจของวิสัยทัศน์นี้ได้รับการเน้นย้ำในทฤษฎีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เมื่อผู้คนร่วมมือในความพยายามร่วมกันที่จะบรรลุเป้าหมายที่มีคุณค่าแต่ท้าทาย พวกเขาจะค้นพบปณิธานใหม่และบรรลุผลสำเร็จที่เหนือกว่าเดิม

เป้าหมายยังมีผลต่อผลการปฏิบัติงานด้วยการจำกัดความสนใจของบุคลากรให้อยู่ในขอบเขตของกิจกรรมที่แคบลง เป้าหมายที่ถูกกำหนดอย่างชัดเจนจะสร้างพื้นฐานในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนกำลังคน การจัดสรรทรัพยากร และการน้อมนำโครงการ เป้าหมายจะช่วยให้เข้าใจในสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่ไม่ต้องทำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในทุกวันนี้เป้าหมายมักถูกวัดโดยตัวชี้วัด หรือ Key performance indicators (KPIs) ซึ่งจะกำหนดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมาย

โรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการจะมีการระบุพันธกิจที่ชัดเจนหรือชุดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน การมุ่งเน้นจะอยู่ที่จำนวนเป้าหมายน้อยลงที่จะใช้การระดมกำลังคนและทรัพยากรต่าง ๆ ของโรงเรียน การกำหนดวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกันไม่มากนักและแต่ละวัตถุประสงค์อยู่ภายใต้ขอบเขตที่บริหารจัดการได้ มักจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เป้าหมายควรจะรวบเอาข้อมูลของผลการเรียนรู้ของนักเรียนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และควรระบุความรับผิดชอบของบุคลากรในการบรรลุเป้าหมาย เป้าหมายของผลการปฏิบัติงานคุณสุขกำหนดให้เป็นหน่วยที่วัดค่าได้เพื่อที่จะใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดความก้าวหน้าและใช้เป็นร่องรอยหลักฐานสำหรับภาระรับผิดชอบ
image

การสื่อสารเป้าหมายของโรงเรียน

ภารกิจด้านนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการที่ผู้อำนวยการจะสื่อสารเป้าหมายของโรงเรียนให้กับครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมายของโรงเรียนได้ด้วยการอภิปรายและพิจารณาเป้าหมายร่วมกันกับบุคลากรเป็นระยะในแต่ละปีการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตัดสินใจด้านการจัดการเรียนการสอน หลักสูตร และงบประมาณ โดยผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถใช้ช่องทางการสื่อสารทั้งแบบเป็นทางการ (เช่น แถลงการณ์เป้าหมาย บอร์ดประกาศสำหรับบุคลากร บทความในจุลสารของผู้อำนวยการหรือคณะกรรมการบริหารโรงเรียน คู่มือโรงเรียน) และแบบไม่เป็นทางการ (เช่น การประชุมผู้ปกครอง การประชุมครู การประชุมคณะกรรมการบริหารหลักสูตร การประชุมทั่วไป) ในการสื่อสารเป้าหมายหลักของโรงเรียน

บทบาทของผู้นำทางวิชาการในการกำหนดพันธกิจของโรงเรียนได้ถูกกล่าวถึงในงานวิจัยเกี่ยวกับโรงเรียนประถมศึกษาที่มีประสิทธิผลในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย Hallinger และ Murphy (1986) ในงานวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยได้สังเกตการครูในห้องเรียนเป็นเวลาหลายวัน ครูคนหนึ่งจัดมุมการเรียนรู้กิจกรรมจิตพิสัย ชื่อว่า “ฉันคือ…” ที่หลังห้อง อย่างไรก็ดี นักวิจัยกลับไม่พบว่านักเรียนได้ทำกิจกรรมดังกล่าว (หน้า 339) เมื่อได้รับการสอบถาม ครูกล่าวว่า:

ใช่ค่ะ มุมการเรียนรู้กิจกรรมจิตพิสัยเป็นกิจกรรมที่ฉันชอบใช้กับนักเรียน แต่ในห้องเรียนนี้นักเรียนค่อนข้างตามไม่ทันในวิชาพื้นฐาน ฉันเลยต้องลดเวลาในกิจกรรมนั้น จุดเน้นของโรงเรียนคือการทำให้มั่นใจว่านักเรียนทุกคนของเรามีความเข้าใจในวิชาพื้นฐานอย่างดี เราพยายามในการให้เวลากับวิชาเลือกเช่นเดียวกันแต่ผู้อำนวยการของเราคาดหวังให้เราใช้เวลาให้มากกลับการอ่าน การเขียน การสะกดคำ และคณิตศาสตร์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ดังนั้นฉันจึงต้องปรับกิจกรรมการเรียนรู้ (Hallinger & Murphy, 1986, p. 339)

ต่อมา จากการสัมภาษณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนได้กล่าวถึงความคาดหวังที่ตรงกันกับข้อความที่ครูกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการได้ทำการปรึกษาหารือกับบุคลากรหลายครั้ง ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะหลายประการของบทบาทผู้นำทางวิชาการในการกำหนดพันธกิจที่ชัดเจน 1) พันธกิจของโรงเรียนนี้มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน สามารถพบเห็นได้ทั่วโรงเรียน 2) พันธกิจดังกล่าวมุ่งเน้นที่การพัฒนาการทางวิชาการที่เหมาะสมกับความต้องการจำเป็นของกลุ่มผู้เรียนเฉพาะของโรงเรียน 3) พันธกิจกำหนดลำดับความสำคัญของงานของครู และ 4) ครูทุกคนรับทราบและยอมรับในพันธกิจดังกล่าว

ในอีกกรณีศึกษาหนึ่ง ในปี 2000 ผู้เขียนได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ตั้งวิสัยทัศน์ไว้ว่า เน้น ‘การเรียนรู้เฉพาะบุคคล’ สำหรับผู้เรียน วิสัยทัศน์ดังกล่าวปรากฏอยู่ในแผ่นพับของวิทยาลัย ในการประชุมผู้ปกครองและนักศึกษา และบนเว็บไซต์ของวิทยาลัย อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า วิสัยทัศน์ดังกล่าวไม่ได้รับการสื่อสารหรือนำไปปฏิบัติโดยผู้จัดการ คณาจารย์และบุคลากร ซึ่งสะท้อนอยู่ในการจัดห้องเรียน หลักสูตร และการใช้รูปแบบการสอนแบบบรรยายอย่างแพร่หลาย แม้ว่าขนาดของชั้นเรียนจะมีนักศึกษาไม่เกิน 30 คนก็ตาม

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้เขียนได้ทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารในการกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่คือ ‘การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ’ ที่นำเอา ‘การเรียนรู้ในการนำองค์ความรู้ไปใช้’ มาเป็นแกนกลางของวิทยาลัย วิสัยทัศน์ดังกล่าวถูกใช้ในการชี้นำการตัดสินใจ การปรับปรุงหลักสูตร การจัดสรรทรัพยากร การออกแบบห้องเรียน การจัดกำลังคน การคัดสรรหัวข้อสำหรับการพัฒนาทางวิชาชีพ และแนวทางในการประเมิน ได้มีการแต่งตั้งทีมภาวะผู้นำทางวิชาการเพื่อสนับสนุนความพยายามของคณาจารย์ในการเรียนรู้และนำนวัตกรรมหลากหลายรูปแบบไปใช้ เช่น รูปแบบการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานในหลักสูตร การใช้รูบลิคในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษา และการบูรณาการใช้สื่อที่หลากหลายในการสอน การใช้การพัฒนาและการให้คำปรึกษาทางวิชาชีพร่วมกับการประเมินผลการสอนที่มีข้อมูลเป็นฐานเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนการพัฒนาคณาจารย์

การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน

มิติที่สอง การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นไปที่การประสานงานและการควบคุมการจัดการการสอนและหลักสูตรนำเอาหน้าที่ภาวะผู้นำ 3 ประการมาประกอบกัน:
  • การนิเทศและประเมินการสอน
  • การประสานงานหลักสูตร
  • การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน


มิตินี้มุ่งเน้นไปที่บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในการบริหาร “หลักทางเทคนิค”ของโรงเรียน ในโรงเรียนขนาดใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนมักจะไม่ใช่ผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับการติดตามและการพัฒนาโปรแกรมการเรียนการสอนของโรงเรียนแต่ผู้เดียว แต่กรอบความคิดนี้ตั้งข้อสมมุติว่า การประสานงานและการควบคุมโปรแกรมทางวิชาการของโรงเรียนยังคงเป็นความรับผิดชอบภาวะผู้นำหลักของผู้อำนวยการโรงเรียน ถึงแม้ว่าภาระหน้าที่บางอย่างจะถูกมอบหมายไปให้กับผู้อื่นได้ก็ตาม

มิตินี้จำเป็นที่ผู้อำนวยการและผู้นำคนอื่นๆในโรงเรียนจะต้องมีความยึดมั่นผูกพันในการสร้างแรงจูงใจ นิเทศ และกำกับติดตามการสอนและการเรียนรู้ในโรงเรียน ถึงแม้ว่าข้อจำกัดด้านเวลาอาจจะเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในด้านนี้ของผู้อำนวยการโรงเรียน งานด้านนี้ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างและการกำหนดหน้าที่ของทีมภาวะผู้นำเพื่อให้มั่นใจว่างานจะดำเนินการจนสำเร็จ ไม่แท้จริงแล้ว ภาระงานในด้านนี้จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้อำนวยการโรงเรียนในด้านการสอนและการเรียนรู้ รวมทั้งความมุ่งมั่นในการพัฒนาโรงเรียน มิติในด้านนี้เองที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโปรแกรมการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างลึกซึ้ง
image

การนิเทศและประเมินการสอน

หัวใจของงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างหนึ่งคือ การทำให้มั่นใจว่าเป้าหมายของโรงเรียนที่กำหนดขึ้นกำลังได้รับการปฏิบัติในระดับห้องเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประสานเชื่อมโยงเป้าหมายในห้องเรียนของครูกับเป้าหมายของโรงเรียน และการประเมินการสอนในชั้นเรียน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการให้การสนับสนุนทางการจัดการเรียนการสอนกับครูและการกำกับติดตามการสอนในชั้นเรียนด้วยการเยี่ยมห้องเรียนทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการของผู้อำนวยการโรงเรียนและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการเรียนการสอน ภาระงานด้านนี้ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ กว่า 10 ปีที่ผ่านมา งานการประเมินครูของผู้อำนวยการโรงเรียนได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ยังมีผลงานวิจัยไม่มากนักที่ให้การสนับสนุนอิทธิพลของงานด้านนี้ต่อคุณภาพการสอนและการเรียนรู้

อย่างไรก็ดี ภายในกรอบแนวคิดภาวะผู้นำ ทางวิชาการนี้ ภาระงานด้านนี้ยังคงเน้นที่การพัฒนาความสามารถทางการสอนของครูมากกว่าการประเมินครูอย่างเป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนของการเน้นไปที่ การนิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อนของครู (peer coaching) ในแง่ของการสนับสนุนการเรียนรู้ของครูภายในชั้นเรียน จากข้อจำกัดด้านเวลาของผู้อำนวยการโรงเรียน การชี้แนะ (coaching) ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการปฏิบัติภาวะผู้นำทางวิชาการที่ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถมอบอำนาจให้กับผู้นำครูนำไปปฏิบัติได้ อย่างไรก็ดี การมอบอำนาจให้ประสบผลสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยภาวะผู้นำในการพัฒนาความสามารถของครูในการชี้แนะอย่างสัมฤทธิ์ผล

ในวิทยาลัยที่ผู้เขียนปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น สมาชิกของทีมภาวะผู้นำทางวิชาการจัดประชุมร่วมกับอาจารย์เป็นรายบุคคลในช่วงต้นและช่วงปลายของปีการศึกษา ในการประชุมช่วงต้นปี อาจารย์จะนำเสนอเป้าหมายสำหรับการพัฒนาและการปฏิบัติงานในปีที่กำลังจะมาถึง ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปใช้ในการวางแผนการพัฒนาทางวิชาชีพอีกทั้งของบุคคลและของคณาจารย์ รวมถึงการประเมินผลการปฏิบัติงานในปีการศึกษานั้น ในการประชุมช่วงปลายปี ผู้นำทางวิชาการจัดประชุมร่วมกับอาจารย์อีกครั้งเพื่อพิจารณาความสำเร็จและผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า การประชุมเหล่านี้จะใช้เวลาอย่างมาก แต่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของผู้นำทางวิชาการของวิทยาลัยที่มีต่อสิ่งที่อาจารย์ต้องการบรรลุผลในบทบาททางวิชาชีพ ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้ได้รับข้อมูลที่สำคัญในการให้การสนับสนุนอาจารย์เป็นรายบุคคลและทั้งองค์คณะ.
image

การประสานงานหลักสูตร

หนึ่งในคุณลักษณะที่โดดเด่นของโรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการคือ การประสานงานหลักสูตรที่ดีเยี่ยมของผู้อำนวยการโรงเรียนและทีมภาวะผู้นำทางวิชาการ เป้าหมายทางหลักสูตรของโรงเรียนจะมีความสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับเนื้อหาที่สอนในชั้นเรียนและข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้ในโรงเรียน มิติด้านนี้ของการประสานงานหลักสูตรยังสามารถสังเกตได้จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูทั้งภายในระดับชั้นเดียวกันและข้ามระดับชั้นเกี่ยวกับประเด็นด้านการจัดการเรียนการสอนและ/หรือด้านหลักสูตร

ในขณะเดียวกัน งานวิจัยยังพบว่าผู้อำนวยการโรงเรียนในกลุ่มประเทศที่มีหลักสูตรแบบรวมศูนย์ระดับสูง มักจะมีความเกี่ยวข้องในการประสานงานหลักสูตรน้อยกว่ามาก (เช่น ประเทศไทย ตุรกี ชิลี อิหร่าน จีน) นี่เป็นสถานการณ์ที่ปรากฎในประเทศไทยในอดีต แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในประเทศไทยได้สร้างความคาดหวังใหม่ว่า โรงเรียนจะมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในมิติด้านนี้ด้วยการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และคาดว่าผู้อำนวยการโรงเรียนไทยจะให้ความสำคัญกับภาระงานภาวะผู้นำทางวิชาการในมิตินี้มากยิ่งขึ้น
image

การติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน

โรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการจะให้ความสำคัญอย่างมากกับการทดสอบวัดผลทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม การทดสอบนี้ถูกใช้ในการวินิจฉัยปัญหาของหลักสูตรและของผู้เรียน การประเมินผลของการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน และใช้ช่วยในการมอบหมายงานในชั้นเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนมีบทบาทที่สำคัญในด้านนี้หลายประการ ทั้งในด้านการให้ผลการทดสอบกับครูที่เป็นประโยชน์และในเวลาที่เหมาะสม การอภิปรายผลการทดสอบกับบุคลากรทุกคน กับคณะครูในระดับชั้น และครูรายบุคคล และให้การแปลผลการวิเคราะห์สำหรับครูที่ระบุรายละเอียดข้อมูลการทดสอบที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่ชัดเจน

ยกตัวอย่างเช่น ในโรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการที่ยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้ ระหว่างการประชุมอภิปรายถึงวิธีที่จะติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน ครูหลายคนในโรงเรียนสังเกตว่าผู้อำนวยการโรงเรียน “ทราบถึงระดับความสามารถในการอ่านและความก้าวหน้าของนักเรียนกว่า 650 คนในโรงเรียนประถมศึกษา” (Hallinger & Murphy, 1986) ถึงแม้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้จำเป็นสำหรับภาวะผู้นำทางวิชาการ แต่สะท้อนให้เห็นถึงระดับของการมีส่วนร่วมของผู้อำนวยการโรงเรียนในการติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนและในการบริหารโปรแกรมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน

การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน

ผู้นำทางวิชาการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกที่สื่อสารถึงมาตรฐานและความคาดหวังระดับสูงสำหรับทั้งครูและนักเรียน เครื่องมือที่สำคัญ 2 ประการที่ผู้นำทางวิชาการใช้ คือ การกำหนดความคาดหวังและปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างในทางปฏิบัติ ถึงแม้ว่าครูอาจจะไม่เห็นด้วยกับผู้อำนวยการโรงเรียนในทุกเรื่อง พวกเขามักจะให้ความสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนสร้างความสัมพันธ์ทางวิชาชีพเชิงบวกกับครู (เช่น การสร้างความไว้วางใจ) พวกเขามักจะให้ความสนใจกับความเชื่อดังกล่าวมากยิ่งขึ้น (Hallinger et al., 2018)

ผู้อำนวยการโรงเรียนมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ด้วยการทำให้ครูสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล Hallinger และ Heck (1998) ตั้งชื่อมิตินี้ว่า การวางโครงสร้างและกระบวนการทางวิชาการ (shaping academic structures and processes) ในขณะที่ Leithwood และคณะ (2020) ให้ชื่อมิตินี้ว่า การออกแบบองค์การ (designing the organization) ชื่อมิติทั้งสองให้แนวคิดที่ว่าผู้นำมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการจัดวางโครงสร้างของงานและกระบวนการ มีหลักฐานที่สนับสนุนว่ารูแบบโครงสร้างของงานหลายประเภทมีผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์และความยึดมั่นผูกพันในงานของครู เนื่องจากตำแหน่งและอำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการในโครงสร้างการบริหาร ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงมีบทบาทที่สำคัญในการกำหนดคุณลักษณะของโครงสร้างเหล่านี้ ดังนั้นในมิติที่สามนี้การพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียน จึงประกอบด้วยภารกิจหลายประการ:
  • การพิทักษ์เวลาการเรียนการสอน
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับครู
  • การสร้างแรงจูงใจสำหรับการเรียนรู้
  • การส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาชีพ
  • การปรากฏตัวให้เห็นบ่อยครั้งในโรงเรียน


มิตินี้มีขอบเขตและเจตนารมณ์ที่กว้างกว่ามิติที่สองและมีความคาบเกี่ยวกับมิติที่เป็นองค์ประกอบร่วมในกรอบแนวคิดภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Leithwood; et al., 2006) มีความสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จสร้างบรรยากาศองค์การที่เน้นวิชาการ ผ่านการพัฒนามาตรฐานและความคาดหวังที่สูงและวัฒนธรรมที่ปลูกฝังและให้รางวัลกับการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โรงเรียนที่มีประสิทธิผลทางวิชาการสร้างวัฒนธรรมของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการให้รางวัลที่สอดคล้องกับเป้าหมายและการปฏิบัติ และท้ายสุด ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องแสดงค่านิยมและปฏิบัติเป็นตัวอย่างในการสร้างบรรยากาศองค์การและสนับสนุนการพัฒนาของการสอนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
image

การพิทักษ์เวลาการเรียนการสอน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้เวลาในการเรียนรู้เน้นย้ำความสำคัญของการให้เวลากับครูในการทำงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกรบกวน การพัฒนาการบริหารห้องเรียนและทักษะการจัดการเรียนการสอนของครูจะไม่ส่งผลตามศักยภาพ หากครูถูกรบกวนบ่อยครั้งด้วย การประกาศเสียงตามสาย นักเรียนที่ไม่ตรงเวลา และการเรียกตัวจากฝ่ายอำนวยการ ผู้อำนวยการโรงเรียนมีอำนาจในการควบคุมในส่วนนี้ผ่านการพัฒนาและการบังคับใช้นโยบายทั่วทั้งโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตารางเรียน รวมทั้งการรบกวนเวลาในการเรียนรู้ในห้องเรียน

ในการวิจัยโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มีประสิทธิผลในรัฐแคลิฟอร์เนีย (Hallinger & Murphy, 1986) ผู้เขียนได้เข้าไปศึกษาโรงเรียนและสังเกตว่าเมื่อใดที่นักเรียนอยู่นอกห้องเรียน พวกเขาจะไปยืนเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องเรียน สิ่งที่พบมีความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักไม่นำระบบการจัดการแบบทหารมาใช้ในโรงเรียน เมื่อผู้วิจัยถามผู้อำนวยการโรงเรียนเกี่ยวกับแนวการปฏิบัตินี้ เขากล่าวว่า “ทุกคนพูดถึงการขยายเวลาในปีการศึกษา เพื่อที่ผู้เรียนจะมีเวลาในการเรียนรู้มากขึ้น แต่พอดิฉันเข้ามาตรวจสอบเวลาเรียนในแต่ละวัน ดิฉันสังเกตว่านักเรียนเดินเข้าห้องเรียนถึง 5 ครั้งต่อวัน เมื่อนักเรียนกลับเข้าห้องเรียนอย่างเป็นระเบียบ เราจะประหยัดเวลา 5 นาทีต่อครั้งที่สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ถึง 5 ครั้งต่อวัน และเวลาเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป”

นี่คือหนึ่งในตัวอย่างจากหลายวิธีที่ผู้อำนวยการโรงเรียนพัฒนากิจวัตรในโรงเรียนที่ทำให้ผู้บริหารและครูทุกคนได้ใช้ใน ‘การพิทักษ์เวลาการเรียนการสอน’ อย่างไรก็ดี จุดเริ่มต้นคือ ค่านิยมของการให้ความสำคัญกับกิจกรรมการสอนและการเรียนรู้ แล้วจึงพิจารณาเวลาในแต่ละวันในโรงเรียน เพื่อหาแนวทางที่จะสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้มากที่สุด
image

การปรากฏตัวให้เห็นบ่อยครั้งในโรงเรียน

การที่ผู้อำนวยการโรงเรียนปรากฏตัวให้เห็นในโรงเรียนถือเป็นตัวบ่งชี้ถึงสิ่งที่ผู้อำนวยการให้ความสำคัญในสายตาครูและนักเรียน ถึงแม้ว่าเวลาในการทำงานส่วนใหญ่ของผู้อำนวยการโรงเรียนอาจจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของตน ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถจัดลำดับความสำคัญว่าจะใช้เวลาที่เหลืออย่างไร การปรากฏตัวให้เห็นในโรงเรียนและในห้องเรียนจะเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนและนักเรียนรวมทั้งครู ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อเจตคติของนักเรียนและครู

ผู้นำทางวิชาการยึดหลักสำคัญในการดำรงชีวิตที่ว่า: ‘ปรากฏตัวเมื่อมีเรื่องสำคัญ และทำให้เป็นเรื่องสำคัญเมื่อท่านปรากฎตัว’ (Be visible where it matters, and make it matter where you are visible) ท่อนแรกของหลักดังกล่าวหนึ่งว่าผู้อำนวยการโรงเรียนจำเป็นต้องปรากฏตัวในสถานที่ที่ครูและนักเรียนกำลังทำกิจกรรมกันอยู่ ซึ่งถือว่าเป็น ‘เรื่องสำคัญ’ ในโรงเรียน ผู้นำทางวิชาการใช้หลักที่เรียกว่า ‘การบริหารแบบเดินไปรอบ ๆ’ (management by walking around: MBWA) ในการสร้างโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับครูและนักเรียนที่กำลังทำ ‘เรื่องสำคัญ’ อยู่ ซึ่งอาจเป็นในทางเดิน ในห้องเรียน สนามโรงเรียน ในห้องประชุมที่กำลังมีการพูดคุยด้านการสอนและการเรียนรู้ และในการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทางวิชาชีพซึ่งครูกำลังเรียนรู้อยู่

ผู้เขียนนึกถึงผู้อำนวยการโรงเรียนในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีประสิทธิผลซึ่งผู้เขียนได้เข้าเยี่ยม เขาจะเดินเข้าไปที่ห้องรับประทานอาหารกลางวันที่เวลา 11 โมงครึ่งของทุกวันเพื่อจะเก็บตั๋วอาหารกลางวันจากนักเรียน ผู้เขียนสงสัยว่าเพราะเหตุใดผู้อำนวยการโรงเรียนจึงใช้เวลาอันมีค่าของเขาในการทำงานที่สามารถมอบหมายให้บุคลากรในโรงอาหารปฏิบัติแทนได้ เมื่อสอบถามกับผู้อำนวยการโรงเรียน เขาตอบว่า “นี่เป็นสิ่งที่ผมทำในทุกวัน มันอาจจะดูเหมือนการเสียเวลา แต่กิจกรรมนี้สร้างความมั่นใจว่า ผมจะได้มีโอกาสคุยสั้น ๆ กับนักเรียนและครูทุกคนในโรงเรียนของผมในแต่ละวัน ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์และทำให้มั่นใจว่าผมจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียนในแต่ละวัน”

“ทำให้เป็นเรื่องสำคัญเมื่อท่านปรากฎตัว” แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของ ‘เจตนา’ ในการปฏิสัมพันธ์กับครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งหมายความว่า การสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่นจะไม่เกิดขึ้นจากการ ‘ปรากฏตัวให้เห็น’ เท่านั้น แต่มาจากการรับรู้และสื่อสารในสถานการณ์ดังกล่าว คุณเป็นนักฟังที่ดีหรือไม่? คุณได้รับรู้อะไรที่จะสามารถจะใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพการสอนและการเรียนรู้? คุณกำลังสื่อสารความคาดหวังอะไร? ค่านิยมอะไรที่คุณกำลังแสดงออกในพฤติกรรมและการตัดสินใจของคุณ?

เมื่อตอนผู้เขียนเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้เขียนกำหนดตารางเวลาในการทำ MBWA ทุกวันก่อนการเรียนจะเริ่มขึ้น ในระหว่างที่เดินไปรอบรอบวิทยาลัย ผู้เขียนใช้การปฏิสัมพันธ์เป็นโอกาสในการเน้นย้ำวิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ของวิทยาลัย ซึ่งอาจจะเกิดจากการพูดคุยกับอาจารย์เกี่ยวกับการวางแผนการสอน การให้ข้อมูลป้อนกลับทางการสอน หรือปัญหาผู้เรียน สิ่งที่ผู้เขียนเน้นย้ำถือเป็นแหล่งที่สร้าง ‘ความกดดันเชิงบวก’ ให้กับอาจารย์ในการเริ่มการสอนให้ตรงเวลาและใช้เวลาในการสอนให้คุ้มค่า

MBWA สามารถเป็นเวลาสำหรับการรับรู้เกี่ยวกับปัญหา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งหนึ่งผู้เขียนสังเกตว่าอาจารย์คนหนึ่งกำลังใช้เครื่องฉายแผ่นใสแทนการใช้เครื่อง LCD โปรเจ็คเตอร์ เมื่อถามว่าเพราะเหตุใด อาจารย์คนนั้นตอบกลับมาด้วยความโมโหว่า “ถ้าโรงเรียนสามารถรักษาให้อุปกรณ์ใช้การได้ตามปกติ ผมถึงจะใช้เครื่อง LCD โปรเจ็คเตอร์ แต่ผมเบื่อมาก เวลามาทำงานและวางแผนที่จะใช้เครื่อง LCD โปรเจ็คเตอร์ แต่กลับพบว่ามันไม่ทำงาน มันเสียเวลาและทำให้ผมอารมณ์เสีย” ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะไม่ชอบที่ถูกตะโกนใส่ แต่ถ้าผู้เขียนไม่ออกจากห้องทำงาน ผู้เขียนก็จะไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วให้กับคณาจารย์ เป็นการสร้างความไว้วางใจกับอาจารย์ และยกระดับประสิทธิผลทางการสอนให้กับอาจารย์ด้วย

ผู้เขียนยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของ MBWA เมื่อผู้เขียนได้รับอีเมลจากอาจารย์ท่านหนึ่งหลังจากที่ผู้เขียนได้ออกจากตำแหน่งมา 8 ปี อาจารย์คนนั้นเขียนว่า: “หลังจากที่คุณได้ออกจากตำแหน่งไป เราได้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยรวม 3 คน ผมพูดได้เต็มปากว่า ผมไม่เคยเห็นผู้อำนวยการวิทยาลัยคนไหนที่เดินมาที่ห้องเรียนและพูดคุยกับอาจารย์หรือนักศึกษาเลย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสใช้เวลาพูดคุยกับคุณนอกห้องเรียนของผม ผมอยากจะขอบคุณสำหรับกำลังใจที่คุณให้กับผม”
image

การสร้างแรงจูงใจสำหรับครู

ครูใส่ความตั้งใจในการทำงานเพื่อความพึงพอใจภายใน (intrinsic satisfaction) จากการได้เห็นนักเรียนเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ และเพื่อความชื่นชมและการได้รับรางวัลจากความพยายามและผลการทำงาน หนึ่งในงานที่สำคัญของผู้อำนวยการโรงเรียนทุกคนคือ การทำให้มั่นใจว่าครูรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมและความมุ่งมั่นในการทำงานในห้องเรียนและในโรงเรียน โดยผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถเตือนให้ครูระลึกถึงความสำคัญของการเป็นครูสำหรับทั้งนักเรียนของพวกเขาและของสังคม ดังตัวอย่างข้อสรุปของ Jesse Stuart (1958) นักการศึกษาชาวอเมริกัน ที่กล่าวว่า: “ฉันมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ครูยังคงมีชีวิตอยู่ผ่านนักเรียนของเขา ฉันยังคงมีชีวิตอยู่ถ้าการสอนของฉันสร้างแรงบันดาลใจ มีความดีงาม และยึดมั่นในค่านิยมอันดี การสอนที่ดีจะตายจากไปได้อย่างไร? การสอนที่ดีจะคงอยู่ตลอดกาลและครูเป็นอมตะ” หากผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถช่วยให้ครูรักษาความรู้สึกถึงคุณค่าในงานของพวกเขา พวกเขาจะมีคณะครูที่มีความมุ่งมั่นอย่างสูงในการทำงานที่โรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องทำอย่างไร?

การกำหนดตารางจัดการเงินเดือนและระบบตำแหน่งแบบเดี่ยวเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างมาก ในการสร้างแรงจูงใจให้กับครูโดยใช้การให้รางวัลที่เป็นตัวเงิน ดังนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ข้อมูลป้อนกลับ การให้คำชม และการให้การยอมรับ เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแรงจูงใจให้ครู จงระลึกว่า การให้รางวัลสามารถทำอย่างเป็นการส่วนตัว ด้วยการเขียนข้อความ กล่าวคำขอบคุณ หรือการกล่าวต่อหน้าผู้อื่นในที่ประชุม

การให้ข้อมูลป้อนกลับและระบบการให้รางวัลที่ประสบความสำเร็จมีหลักดังนี้:
  • การให้ข้อมูลป้อนกลับต้องทำภายในเวลาที่เหมาะสม ไม่ห่างจากเวลาที่ทำการปฏิบัติ
  • การให้ข้อมูลป้อนกลับต้องเฉพาะเจาะจง แทนที่จะแค่ว่า “ทำได้ดี” ควรบอกกับครูว่าเขาทำอะไรได้ดี
  • การให้ข้อมูลป้อนกลับต้องมีความหมาย ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีความหมายต่อบุคคลดังกล่าว
  • การให้ข้อมูลป้อนกลับต้องแสดงความจริงใจ


ในวิทยาลัยที่ผู้เขียนเคยปฏิบัติงาน เรามีความพยายามที่จะใช้รางวัลอย่างตั้งใจเพื่อที่จะส่งเสริมการยกระดับคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ เราใช้หลักที่กล่าวมาข้างต้นในการออกแบบระบบของรางวัลการสอนยอดเยี่ยม ซึ่งจะมอบให้กับอาจารย์หลังจบภาคการศึกษา รางวัลเหล่านี้จะตัดสินจากการประเมินคุณภาพการสอนและ/หรือหลักฐานของนวัตกรรมในการสอน ในวิทยาลัยมีคณาจารย์กว่า 75 คน เราจึงเลือกที่จะให้การยอมรับผลการปฏิบัติงานของอาจารย์รายบุคคลจำนวนหลายคนในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งทีมการสอนหนึ่งทีม (เช่น ทีมกลุ่มรายวิชาหรือทีมระดับชั้นปี) รางวัลเป็นเช็คเงินสดที่มีมูลค่าไม่มาก ประกาศนียบัตรความเป็นเลิศทางการสอน และการประกาศรายชื่อผู้ชนะรางวัลในห้องโถงด้านหน้าของวิทยาลัย

ช่วงท้ายของแต่ละภาคเรียน จะมีการเก็บข้อมูลโดยทีมภาวะผู้นำทางวิชาการและเสนอรายชื่อผู้สมควรได้รับรางวัล ในการประชุมคณาจารย์ครั้งถัดมา ผู้เขียนจะแจ้งให้คณาจารย์ทราบเกี่ยวกับความก้าวหน้าของวิทยาลัยในภาคเรียนที่ผ่านมา รวมทั้งทำการมอบรางวัลความเป็นเลิศทางการสอนระหว่างการประชุมนี้

ผู้รับรางวัลจะได้รับการขานชื่อมาที่หน้าห้องประชุมเพื่อรับประกาศนียบัตร เช็ค และถ่ายรูปทีละคน นอกจากนี้ อาจารย์แต่ละคนจะถูกขอให้เล่าเรื่องราว และแบ่งปันประสบการณ์ว่าเขาทำอย่างไรบ้างในชั้นเรียนที่ทำให้การสอนในภาคเรียนที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ กระบวนการดังกล่าวถือเป็นวิธีการสำคัญในการเสริมแรงการเน้นการสอนและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพที่ฝ่ายบริหารต้องการเผยแพร่ ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ได้รับฟังเรื่องราวและแนวการปฏิบัติจากเพื่อนคณาจารย์โดยตรงแทนการฟังจากผู้อำนวยการ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่มีพลังมากกว่าอย่างยิ่ง

คุณค่าของรางวัลเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้าม อาจารย์คนหนึ่งเผยความรู้สึกส่วนตัวกับผู้อำนวยการหลังจากได้รับรางวัล เขาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “ผมสอนที่นี่มากกว่า 15 ปีและนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจในสิ่งที่ผมทำในห้องเรียน ผมกับเช็คที่มีมูลค่าไม่มากนี้ แต่มันมีความหมายกับผมมากกว่าที่งานที่ผมทำกับนักศึกษาของผมได้รับการชื่นชม ผมรู้สึกซาบซึ้งและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาจารย์ที่สอนดี
image

การส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาชีพ

ภาระงานนี้เกี่ยวข้องกับบทบาทที่ผู้นำทางวิชาการแสดงออกในการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนไปสู่ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (professional learning communities: PLC) งานวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูให้ข้อสรุปว่า เป็นกระบวนการที่ครูได้รับองค์ความรู้ใหม่ที่เน้นความรู้ในเนื้อหาและวิธีการสอนที่พัฒนาการปฏิบัติการสอนของครู การเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูเกิดขึ้นได้โดยผ่านโครงสร้างที่เป็นทางการเช่น โปรแกรมการพัฒนาทางวิชาชีพ กลุ่มวิจัยทางการสอน และโปรแกรมที่ปรึกษา รวมทั้งเกิดจากการเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานในแต่ละวันในบริบทที่แตกต่างกัน เช่น การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน (peer teaching) การวางแผนแบบร่วมมือร่วมพลัง (collaborative planning) การประเมินร่วมกัน (shared assessment) และการให้คำปรึกษาระหว่างเพื่อนร่วมงานอย่างไม่เป็นทางการ

ผู้เขียนขอเน้นย้ำข้อค้นพบนี้ใน 2 ประเด็น ประเด็นแรก ผู้เขียนมีความสงสัยว่ามีผู้อำนวยการโรงเรียนไม่มากนักที่ตระหนักถึงความสำคัญของข้อค้นพบนี้ ประเด็นที่สอง ข้อค้นพบดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่สำคัญของหลักที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้: “ปรากฏตัวเมื่อมีเรื่องสำคัญ และทำให้เป็นเรื่องสำคัญเมื่อท่านปรากฎตัว (Be visible where it matters, and make it matter where you are visible)” ในประเทศไทยถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะกล่าวแนะนำวิทยากรในการประชุมเชิงปฏิบัติการของคณะครู และเมื่อกล่าวจบจะออกจากห้องประชุมในทันที นี่ถือเป็นการสูญเสียโอกาสในการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของการให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ทางวิชาชีพ รวมทั้งการได้รับข้อมูลที่สามารถช่วยให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสนับสนุนคณะครูในการนำความรู้ใหม่ไปปฏิบัติจริง ผู้นำทางวิชาการจะเรียนรู้ร่วมกับครูของพวกเขา
image

การสร้างแรงจูงใจสำหรับการเรียนรู้

ภาระงานสุดท้ายของผู้อำนวยการโรงเรียนภายใต้มิติด้านการพัฒนาบรรยากาศการเรียนรู้เชิงบวกของโรงเรียนคือ การสร้างแรงจูงใจสำหรับการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในโรงเรียนที่ผู้เรียนให้คุณค่ากับผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ การสร้างบรรยากาศของความสำเร็จเกี่ยวข้องกับการสร้างโอกาสที่หลากหลายและมองเห็นได้ที่ผู้เรียนจะได้รับรางวัลและการยอมรับในความสำเร็จในการพัฒนาทางวิชาการของตน รางวัลไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือมีมูลค่าสูง แต่ผู้เรียนควรได้รับโอกาสที่จะได้รับการยอมรับในความสำเร็จของพวกเขาทั้งภายในห้องเรียนและก่อนหน้าทั้งโรงเรียน

บทสรุป

ในปี 1996 ผู้เขียนและ Ron Heck ได้ตีพิมพ์บทความปริทัศน์งานวิจัยนานาชาติเกี่ยวกับอิทธิพลของภาวะผู้นำของผู้อำนวยการโรงเรียนต่อการเรียนรู้ของนักเรียน บทความปริทัศน์นี้ให้ข้อสรุปว่า ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถมีอิทธิพลระดับน้อยแต่มีความหมายต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่างไรก็ดี เนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ได้ทำหน้าที่สอน หรือหากสอน ก็อาจจะสอนผู้เรียนเพียงไม่กี่คน เราจึงสรุปว่า อิทธิพลของผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนนั้นเกิดผลในทางอ้อมโดยผ่านอิทธิพลจากโครงสร้างของโรงเรียนและครู ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยจำนวนมากได้ยืนยันและขยายผลของข้อสรุปนี้ (Leithwood et al., 2020; Robinson et al., 2008) ในทุกวันนี้ เรามั่นใจว่าผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถมีอิทธิพลต่อคุณภาพของการเรียนรู้ของผู้เรียน ภาวะผู้นำทางวิชาการเริ่มต้นจากค่านิยม (เช่น การเรียนรู้) ที่สามารถอธิบายผ่านวิสัยทัศน์และความคาดหวัง ได้รับการสนับสนุนด้วยเจตนาที่มุ่งมั่น และแสดงให้เห็นผ่านการปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง และสะท้อนออกมาผ่านการตัดสินใจที่เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าในโรงเรียน

คัดลอกลิงก์บทความเพื่อส่งต่อ