ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำวิชาการที่ถูกมองข้าม

การสร้างระบบนิเวศทางวิชาการของสถานศึกษา
รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์
บทความที่แล้วผู้เขียนได้กล่าวถึงผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำวิชาการที่ถูกมองข้ามซึ่งได้
แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่เป็นสถานศึกษาของรัฐอาจจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์หรือสมรรถนะการบริหารวิชาการไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งแตกต่างกับสถานศึกษาของเอกชนเนื่องจากการบริหารสถานศึกษาของเอกชนเพื่อที่จะสร้างหรือพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนให้มีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ดีนั้นย่อมมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของ สถานศึกษา ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างระบบนิเวศทางวิชาการ (Academic Ecosystem) ของสถานศึกษาโดยมีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีตามต้องการ
สร้างระบบนิเวศทางวิชาการของสถานศึกษาด้วย ๕ ส.
ระบบนิเวศทางวิชาการ (Academic Ecosystem) เป็นระบบที่ผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาทุกคนได้แก่ ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองและครู เข้ามามีส่วนร่วมในงานวิชาการของสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน การกำหนดกลยุทธ์การบริหาร ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ส่งเสริมและเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน สร้างความเข้มแข็งงานวิชาการของสถานศึกษาเพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียน ซึ่งผู้เขียนขอยืมคำ ๕ ส. ที่วงการอุตสาหกรรมการผลิตหรือบริการใช้เป็นแนวทางมานานแล้วเพื่อปรับปรุงรักษาสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ดีขึ้นน่าอยู่ แต่ในมุมมองของผู้เขียนจะใช้ ๕ ส. ในการสร้างระบบนิเวศทางวิชาการ คือ สร้าง สอน ส่งเสริม สนับสนุน และ สุข เพื่อใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อทางวิชาการของสถานศึกษาโดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้
สร้าง
การสร้างสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งภายในห้องเรียนและภายในบริเวณของสถานศึกษา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การจัดอาคารสถานที่ การระบายถ่ายเทของอากาศในห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ อุณหภูมิห้องเรียน แสงสว่างในห้องเรียน อาคารเรียน อาคารประกอบ ห้องน้ำ ห้องส้วมที่ถูกสุขลักษณะ ตลอดจนระบบเสียงในห้องเรียน ความชัดเจนในการได้ยินเสียงของครูผู้สอน ทัศนวิสัยและการมองเห็นในชั้นเรียน ล้วนมีผลต่อความสนใจ ความตั้งใจเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ผู้เขียนมีความเชื่อว่าสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ (Safety and Healthy)ย่อมมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างสถานศึกษาให้มีความสะอาด ตรวจสอบสภาพการใช้งานให้ปลอดภัยจากการใช้งานตลอดเวลา และภายในสถานศึกษาต้องจัดให้มีระบบคุ้มครองป้องกันผู้เรียนให้ได้รับความปลอดภัยจากคุกคามทุกประเภท หรือการทะเลาะวิวาท รวมถึงการสร้างให้มีระบบการกำกับดูแล ให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนนอกเหนือจากการจัดการชั้นเรียนและการสอนของครู รวมถึงสร้างระบบเครือข่ายความร่วมมือของคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาการเรียนรู้ หรือสร้างทักษะผู้เรียน ซึ่งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือนี้สามารถบริหารจัดการ รวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นให้เป็นระบบก็จะเป็นการจัดการความรู้ที่เกิดขึ้นละจะเป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
สอน
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของครูเป็นอย่างมาก ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆทาง Internet ได้อย่างง่ายดายและทั่วถึง สามารถเรียนได้ทุกที่ รู้ได้ทุกเวลา แตกต่างจากผู้เรียนในอดีตอย่างมากมาย ดังนั้นความรู้ความสามารถของผู้เรียนมิได้ถูกจำกัดแต่ในห้องเรียนหรือต้องรับความรู้จากครูผู้สอนเท่านั้น ครูจึงต้องเปลี่ยนบทบาทจากการทำหน้าที่ครูในยุคดิจิทัลเสียใหม่ ซึ่งไม่ใช่ทำหน้าที่สอนแต่ต้องทำหน้าที่แนะนำ ชี้แนะ ชี้นำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อยากที่จะเรียนรู้ ใฝ่รู้เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ครูจะเป็นผู้อำนวยการให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ดีของครูในการทำหน้าที่สอนก็คือ ครูต้องสอนแบบไม่สอน หมายความว่าบทบาทครูไม่ใช่ผู้สอนตามที่อยากสอนแต่จะต้องเป็นการแนะนำส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้และส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (Profound Learning) ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจของผู้เรียนโดยครูบอกถึงวัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียนรู้แล้วให้นักเรียนร่วมเสนอข้อคิดเห็น ความสนใจ มีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อหาความต้องการที่จะเรียนรู้ บทบาทสำคัญของครูก็จะเป็นเพียงผู้สรุป เสนอแนะและปรับความคิดเห็นของผู้เรียนให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับเวลา เนื้อหาสาระวิชาที่ต้องการ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ผู้เรียนมีความสนใจเรียนรู้มากขึ้นเพราะถือว่ามีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆด้วยตนเองกับครู ทำให้การสอนของครูที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยพื้นฐานดั้งเดิมคือ Learning by Doing หรือที่ปัจจุบันเน้นเป็น Active Learning ก็ย่อมเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีมีส่วนร่วมเรียนรู้ได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
ส่งเสริม
การส่งเสริม ครู บุคลากรสถานศึกษา และผู้เรียน มีส่วนสำคัญที่จะทำให้ระบบนิเวศทางวิชาการของสถานศึกษามีการพัฒนาปรับปรุงต่อเนื่องอยู่เสมอ การส่งเสริมการเรียนรู้ของครู บุคลากร การศึกษาของสถานศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถในงานเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นการ Upskill หรือ Reskill ให้ทันต่อบริบทการเปลี่ยนแปลงการสถานศึกษาจะทำให้งานสอนของครูและงานบริการวิชาการของสถานศึกษาที่จัดให้แก่ผู้เรียน ผู้ปกครอง ชุมชนหรือผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถานศึกษาต้องส่งเสริมผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาวุฒิภาวะ ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยให้มีความพร้อมในการเรียนรู้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ได้อยู่ที่เรียนได้กี่วิชา หรือเรียนได้กี่หน่วยกิตจึงจะจบการศึกษา แต่ต้องเน้นที่ผู้เรียนสามารถทำอะไรได้จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ สถานศึกษาต้องส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดสมรรถนะสู่การปฏิบัติมากกว่าการเรียนรู้เพื่อสอบให้ได้วุฒิบัตรหรือประกาศนียบัตร
นอกจากนี้การส่งเสริมให้ผู้ปกครอง หรือ ชุมชน นอกเหนือจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการสอน การให้ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้แก่ผู้เรียนมากขึ้น เช่น การเชิญผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน หรือ ผู้ประกอบการในชุมชนมาเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษให้ความรู้แก่ผู้เรียนในมุมมองต่างๆของการเปลี่ยนแปลงและการดำเนินชีวิตในสังคมที่มีความซับซ้อนหลากหลายวัฒนธรรม เพื่อที่จะช่วยส่งเริมพัฒนาผู้เรียนให้มีความรอบรู้ มีสมรรถนะที่หลากหลาย (Transversal Competency) มีความยืดหยุ่นในการคิด การตัดสินใจและสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และยังเป็นการเรียนรู้จากโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้และวางแผนอนาคตทางการศึกษา หรือ การอาชีพของตนได้อย่างเหมาะสม
สนับสนุน
การสนับสนุนครูผู้สอนและบุคลากรการศึกษาให้มีโอกาสใช้ทักษะ ความรู้ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมการปฏิบัติงานที่ส่งเสริมจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือการพัฒนางานในหน้าที่รับผิดชอบให้ดีขึ้น โดยสถานศึกษาต้องจัดให้มีงบประมาณ สนับสนุน จัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น รวมถึงการเอื้อเฟื้อให้สามารถใช้อาคารสถานที่ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้การปฏิบัติงานของครูและบุคลากรการศึกษามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และต้องให้ครูมีอิสระที่จะคิด ออกแบบและทดลองการจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนตามแนวทางที่ได้พัฒนาขึ้น สนับสนุนให้ครูได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูภายในสถานศึกษาเดียวกันหรือระหว่างครูต่างสถานศึกษา เช่น การสนับสนุนให้ครูในกลุ่มสาระต่างๆมีการเสวนาวิชาการ เดือนละ ๑ ครั้ง อาจจะเป็นชื่อรายการเสวนาวิชาการ ๑๐ นาทีสร้างสรรค์ ให้ครูของกลุ่มสาระทุกคนได้นำความรู้จากการศึกษา ค้นคว้า หรือการปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนเล่าสู่เพื่อนครูในกลุ่มสาระได้ฟัง ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นปัญหา การดำเนินการแก้ไข ที่ครูแต่ละท่านได้ดำเนินการไปแล้ว ได้ผลหรือไม่ได้ผล เพราะเหตุใด การจัดเสานาแบบนี้ไม่น่าจะเป็นการเพิ่มภาระแก่ครูแต่อย่างใดเพราะจัดเพียงเดือนละครั้งเท่านั้นหากสถานศึกษาใดมีจำนวนครูในกลุ่มสาระบางกลุ่มมากก็จะถึงรอบเพียงปีการศึกษาละครั้งเท่านั้น หรือหากสถานศึกษาใดมีจำนวนครูในกลุ่มสาระน้อยมากอาจจะจัดเสวนา ๒-๓ เดือนครั้งก็ได้ มิได้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัว แต่หลักคิดคือสนับสนุนให้ครูมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยสถานศึกษาสนับสนุนงบประมาณอาหารว่างในการประชุมเสวนาเท่านั้นซึ่งคงไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณเท่าใดนัก หรือ แม้แต่การประชุมครูในแต่ละภาคการศึกษาก็เปิดโอกาสให้ครูมานำเสนอนวัตกรรมต่างๆที่ครูได้พัฒนาและทดลองใช้แล้วเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดี เพื่อสร้างบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เป็นต้น การสนับสนุนของสถานศึกษานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงการสนับสนุนครูและบุคลากรการศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงการสนับสนุนการจัดกิจกรรมนักเรียน หรือกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่างๆ ของนักเรียนที่นอกเหนือจากการเรียนการสอนในชั้นเรียนของครู หรือการเรียนในคาบกิจกรรม เพื่อให้ตอบสนองความต้องการเรียนรู้ของนักเรียน ให้นักเรียนในฐานะผู้เรียนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการหรือคุณลักษณะของผู้เรียนที่พึงประสงค์ เช่น การจัดกิจกรรมของสภานักเรียน และกิจกรรมของชุมนุมต่างๆในสถานศึกษา เป็นต้น
การสนับสนุนของสถานศึกษาที่จะเปิดโอกาสให้ครู บุคลากรการศึกษา และผู้เรียน หรือแม้แต่สมาคมศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองและครูได้จัดกิจกรรมต่างๆเพื่อการพัฒนาวิชาการและการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีย่อมเกิดประโยชน์ต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
สุข
ส. สุดท้ายของการสร้างระบบนิเวศทางวิชาการของสถานศึกษา คือ การสร้างความสุขในการมาสถานศึกษาของผู้เรียน ครูจะต้องสอนหรือจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความพร้อม และศักยภาพของผู้เรียนที่จะรับได้ในช่วงระยะเวลาที่สอนเป็นสำคัญ ไม่ใช่คำนึงถึงความต้องการตัวชี้วัดของหลักสูตรเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้และสามารถพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพของตนเองภายใต้การแนะแนวหรือการชี้แนะของครูผู้สอน ความสุขของผู้เรียนจะเกิดขึ้นได้มากหรือน้อยเพียงใดย่อมขึ้นกับการสอนหรือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู หากครูไม่มีความสุขในการปฏิบัติงานก็คงยากที่ครูจะสามารถสร้างความสุขให้แก่ผู้เรียนได้ ดังนั้นการสร้างความสุขในการปฏิบัติงานของครูจึงเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษาให้มีบรรยากาศการทำงานที่มีอิสระในการคิด กล้าแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน ได้รับการปฏิบัติหรือการสนับสนุนให้มีโอกาสก้าวหน้าในวิชาชีพอย่างเท่าเทียมเสมอภาคและเป็นธรรม ผู้บริหารสถานศึกษาควรจัดให้มีการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างกลุ่มสาระและภายในกลุ่มสาระอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง การจัดสรรงบประมาณที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนและสร้างโอกาสให้ครู บุคลากรของสถานศึกษาทุกคนได้สังสรรค์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในรูปแบบการสนทนากลุ่มสนใจอย่างไม่เป็นทางการนอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันกับทีมงานแล้วยังจะเป็นการเสริมสร้างให้เกิดความสุขในการปฏิบัติงาน ซึ่งมีหลักคิดสำคัญที่ว่าดูแลใส่ใจคนของท่านแล้วคนของท่านจะดูแลงานให้ท่านเป็นอย่างดี นั่นเอง
การสร้างระบบนิเวศทางวิชาการของสถานศึกษาด้วย ๕ ส. ได้แก่ สร้าง สอน ส่งเสริม สนับสนุน และ สุข ที่ผู้เขียนได้เสนอแนวความคิดข้างต้นนี้ ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญคือภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา เพราะเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการบริหารสถานศึกษา การตัดสินใจ การสนับสนุนงบประมาณและการจัดสรรเวลาสำหรับครู บุคลากรของสถานศึกษาทุกคนในอันที่จะสร้างสถานศึกษาให้มีความเข้มแข็งทางวิชาการเพื่อสร้างพื้นฐานสำคัญของผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ ใฝ่เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอยูเสมอ หากผู้บริหารสถานศึกษามีความตั้งใจ มุ่งมั่นพัฒนา อย่างจริงจังโดยมีเป้าหมายที่คุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ ผมเชื่อว่าครูและบุคลากรทุกคนของสถานศึกษาพร้อมที่จะช่วยและสนับสนุน ความสำเร็จในการบริหารวิชาการของสถานศึกษาย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนและเป็นรางวัลการปฏิบัติงานที่ไม่ต้องการผู้มามอบให้เพราะท่านสามารถมอบให้ตนเองได้อย่างภาคภูมิใจ นั่นเอง